อาการ ปวดกล้ามเนื้อขา เป็นหนึ่งในปัญหาที่หลายคนต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬา คนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ รวมไปถึงคนทำงานออฟฟิศที่ต้องนั่งหรือยืนนาน ๆ กล้ามเนื้อขาถือเป็น “กล้ามเนื้อหลัก” และหัวใจสำคัญของการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การเดิน วิ่ง กระโดด การยืนทรงตัว หากกล้ามเนื้อขาเกิดการอักเสบหรือบาดเจ็บ ทำให้มีผลกระทบโดยตรงต่อการใช้ชีวิต เคลื่อนไหวได้ไม่เต็มที่ อาจถึงขั้นทำให้คุณต้องหยุดเล่นกีฬา และลดประสิทธิภาพการทำงานลงอย่างเห็นได้ชัด
สาเหตุของอาการปวดกล้ามเนื้อขามีหลายปัจจัย ตั้งแต่การใช้งานหนักเกินไป ขาดการยืดเหยียดที่เหมาะสม ไปจนถึงการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้อง อาการเล็ก ๆ อาจลุกลามจนกลายเป็นปัญหาเรื้อรังได้
การรักษาด้วยกายภาพบำบัด จึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง เพราะช่วยบรรเทาอาการปวด ช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพของกล้ามเนื้อขาให้กลับมาแข็งแรง พร้อมทั้งแนะนำวิธีการป้องกันการบาดเจ็บซ้ำในอนาคต บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจสาเหตุ อาการ การรักษา และแนวทางป้องกันอย่างครบถ้วน เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่า หากมีอาการปวดกล้ามเนื้อขา คุณก็มีวิธีการดูแลและแนวทางการรักษาที่ถูกต้อง
สาเหตุของอาการปวดกล้ามเนื้อขา
อาการปวดกล้ามเนื้อขา เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ทั้งที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้ชีวิต การเล่นกีฬา หรือแม้แต่ปัญหาทางสุขภาพภายในร่างกาย การทำความเข้าใจสาเหตุอย่างถูกต้องจะช่วยให้สามารถป้องกันและเลือกรับการรักษาที่เหมาะสมได้
1. การใช้งานกล้ามเนื้อเกินกำลัง (Overuse)

หนึ่งในสาเหตุที่พบบ่อยคือการใช้งานกล้ามเนื้ออย่างหนักเกินไป เช่น การวิ่งระยะไกล เล่นฟิตเนส หรือออกกำลังกายที่ใช้แรงซ้ำ ๆ โดยไม่มีการพักที่เพียงพอ กล้ามเนื้อที่ถูกใช้งานต่อเนื่องจะเกิดการอักเสบเล็กน้อย (Microtrauma) ซึ่งหากสะสมเรื่อย ๆ จะทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยและกลายเป็นการบาดเจ็บที่รุนแรงขึ้นได้
2. การบาดเจ็บจากกีฬา (Sports Injury)

การเล่นกีฬาโดยเฉพาะที่ต้องใช้การวิ่ง กระโดด หรือเปลี่ยนทิศทางเร็ว ๆ เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล หรือวิ่งมาราธอน มักก่อให้เกิดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อขา ตัวอย่างเช่น
- กล้ามเนื้อฉีกขาด (Muscle Strain): เกิดจากการยืดหดเกินขีดจำกัด
- เส้นเอ็นฉีกขาด (Tendon / Ligament Sprain): เกิดจากการเคลื่อนไหวเกินองศาปกติ
- การกระแทกหรือหกล้ม: ทำให้เกิดอาการช้ำ บวม และปวดเฉพาะจุด
งานวิจัยจาก Journal of Athletic Training ชี้ว่าการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อขาเป็นหนึ่งในอาการบาดเจ็บที่พบบ่อยที่สุดในนักกีฬา โดยเฉพาะกล้ามเนื้อ Hamstring และ Quadriceps
3. การนั่งหรือยืนเป็นเวลานาน
ไม่ใช่แค่นักกีฬาที่เสี่ยง คนทำงานออฟฟิศที่นั่งนาน ๆ หรือผู้ที่ต้องยืนทำงานต่อเนื่อง เช่น พนักงานขาย พยาบาล ครู ก็มีโอกาสปวดกล้ามเนื้อขาได้ เนื่องจากกล้ามเนื้อถูกกดทับหรือเกร็งในท่าเดิมนานเกินไป ส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดไม่ดี ทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าและปวดเรื้อรังของกล้ามเนื้อได้
4. ปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อกล้ามเนื้อขา
- ภาวะขาดน้ำและแร่ธาตุ (Electrolyte Imbalance): การดื่มน้ำน้อยเกินไปหรือเสียเหงื่อมาก ทำให้เกิดตะคริวและกล้ามเนื้อเกร็งได้ง่าย
- การไหลเวียนเลือดผิดปกติ: ผู้ที่มีภาวะหลอดเลือดดำอุดตัน (DVT) หรือปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือด อาจมีอาการปวดบวมที่ขา
- ปัญหาเส้นประสาท: เช่น หมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท ทำให้มีอาการปวดร้าวลงขา (Sciatica)
สาเหตุเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า อาการปวดกล้ามเนื้อขาไม่ได้มีที่มาเพียงอย่างเดียว การประเมินโดยนักกายภาพบำบัดจึงมีความสำคัญ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและเลือกแนวทางการรักษาที่ตรงจุด
อาการที่ควรสังเกต
เมื่อเกิดอาการ ปวดกล้ามเนื้อขา หลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยและจะหายไปเอง แต่ความจริงแล้วบางครั้งอาการเหล่านี้อาจบ่งบอกถึงการบาดเจ็บหรือความผิดปกติที่ซ่อนอยู่ หากทิ้งไว้อาจทำให้ปัญหาลุกลามจนกลายเป็นอาการเรื้อรังได้ ต่อไปนี้คือสัญญาณที่ควรตระหนัก
1. ปวดตื้อ ๆ หรือปวดเฉพาะจุด
- หากรู้สึกเจ็บลึกในกล้ามเนื้อ หรือปวดเฉพาะตำแหน่ง เช่น ต้นขาหลัง (Hamstring) หรือน่อง (Calf)อาจบ่งบอกถึงการอักเสบจากการใช้งานเกินกำลัง
- มักเกิดหลังการออกกำลังกายหนัก หรือทำกิจกรรมที่ใช้กล้ามเนื้อมากกว่าปกติ
2. ปวดร่วมกับอาการบวม แดง ร้อน
- หากมีอาการบวม ช้ำ หรือสัมผัสผิวหนังร้อนร่วมด้วย แสดงว่ามีการอักเสบเฉียบพลัน หรือบาดเจ็บรุนแรง
- ในบางกรณีอาจเกี่ยวข้องกับภาวะหลอดเลือดดำอุดตัน (DVT) ซึ่งต้องพบแพทย์ทันที
3. กล้ามเนื้อเกร็งหรือเป็นตะคริวบ่อย
- ตะคริวที่เกิดซ้ำบ่อย โดยเฉพาะตอนกลางคืนหรือหลังออกกำลังกาย อาจเกี่ยวข้องกับการเสียสมดุลของแร่ธาตุ เช่น แมกนีเซียม โพแทสเซียม และโซเดียม
- เป็นสัญญาณว่ากล้ามเนื้อกำลังอ่อนล้าและต้องการการฟื้นฟูอย่างเร่งด่วน
4. เคลื่อนไหวได้จำกัด
- หากยกขา วิ่ง หรือก้าวเดินแล้วรู้สึกติดขัด หรือกล้ามเนื้อไม่สามารถยืดหดได้เต็มช่วงการเคลื่อนไหว (Range of Motion) ควรให้ความสำคัญกับอาการที่เป็น
- มักพบในผู้ที่มีอาการกล้ามเนื้อฉีกขาดเล็กน้อย หรือมีพังผืดเกาะ เนื่องจากกล้ามเนื้อทำงานได้ไม่เต็มที่
5. อาการเรื้อรังเกิน 1–2 สัปดาห์
- หากอาการปวดไม่ดีขึ้นแม้จะพักหรือใช้การดูแลเบื้องต้น เช่น ประคบเย็น/ร้อน และยืดเหยียดเบา ๆ
- เป็นสัญญาณว่ามีการบาดเจ็บลึก หรือรุนแรงกว่าที่คิด และควรได้รับการประเมินโดยนักกายภาพบำบัด หรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
แนวทางการรักษาด้วยกายภาพบำบัด
เมื่อเกิดอาการ ปวดกล้ามเนื้อขา การดูแลด้วยตนเองเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ โดยเฉพาะหากอาการไม่หายภายใน 1–2 สัปดาห์ การเข้าพบนักกายภาพบำบัดถือเป็นขั้นตอนสำคัญ เพราะกายภาพบำบัดไม่ได้เพียงบรรเทาอาการปวด แต่ยังช่วยหาสาเหตุ ฟื้นฟูสมรรถภาพ และป้องกันการบาดเจ็บซ้ำในอนาคต
1. การตรวจประเมินอาการโดยนักกายภาพบำบัด
- นักกายภาพบำบัดจะซักประวัติ ตรวจร่างกาย ประเมินการเคลื่อนไหว และทดสอบความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา รวมไปถึงกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว
- ใช้หลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์ (Evidence-based Practice) เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง เช่น การบาดเจ็บเฉพาะจุด, การใช้งานเกิน, หรือปัญหาเกี่ยวกับท่าทาง (Posture)
2. นวดนักกีฬา (Sport Massage)
- เทคนิคการนวดเชิงลึกเพื่อคลายความตึงของกล้ามเนื้อ เพิ่มการไหลเวียนเลือด และลดการสะสมของของเสียในกล้ามเนื้อ
- งานวิจัยจาก Sports Medicine Journal พบว่าการนวดนักกีฬาช่วยลดอาการปวดกล้ามเนื้อหลังการออกกำลังกาย (DOMS) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. Focus Shockwave Therapy
- การใช้คลื่นกระแทกความถี่สูง (Shockwave) เพื่อกระตุ้นการฟื้นฟูเนื้อเยื่อและคลายพังผืดที่สะสม
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดเรื้อรัง หรือพังผืดเกาะตามกล้ามเนื้อขา
- งานวิจัยใน PubMed ยืนยันว่า Shockwave Therapy มีผลดีต่อการลดอาการปวดและเพิ่มการเคลื่อนไหวในผู้ป่วยกระดูกและกล้ามเนื้อ
4. โปรแกรมออกกำลังกายบำบัด (Therapeutic Exercise)
- เน้นการออกกำลังกายเฉพาะที่เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงและความทนทานของกล้ามเนื้อขา เช่น Squat, Lunge, Calf Raise
- เสริมกำลังกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวให้แข็งแรง เพื่อเป็นการส่งแรงกระจายแรงอย่างมีประสิทธิภาพ
- Journal of Athletic Training ระบุว่าการออกกำลังกายบำบัดที่ออกแบบเฉพาะบุคคลสามารถลดโอกาสบาดเจ็บซ้ำได้อย่างมีนัยสำคัญ
5. โปรแกรมการยืดเหยียด (Stretching Program)
- ใช้ท่า ยืดกล้ามเนื้อขา ที่เหมาะสม เช่น Hamstring Stretch, Quadriceps Stretch, Calf Stretch
- ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ลดการตึง และปรับสมดุลของการทำงานกล้ามเนื้อ
6. คำแนะนำการดูแลตัวเองเพิ่มเติม
- การปรับท่าทางการนั่ง ยืน และเดิน
- การจัดโปรแกรมการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับเป้าหมาย
- การให้คำปรึกษาเรื่องโภชนาการและการพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อ
แนวทางการรักษาเหล่านี้จะถูกปรับให้เหมาะสมกับอาการและความต้องการเฉพาะบุคคลของคนไข้ เพื่อให้การฟื้นฟูเป็นไปอย่างปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และยั่งยืน
การออกกำลังกายและการป้องกัน
นอกจากการรักษาแล้ว การดูแลกล้ามเนื้อขาให้แข็งแรงและยืดหยุ่นอยู่เสมอถือเป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันอาการ ปวดกล้ามเนื้อขา ทั้งในนักกีฬาและคนทั่วไป กล้ามเนื้อขาที่สมดุลและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บ และทำให้การเคลื่อนไหวทุกกิจกรรมราบรื่นขึ้น
1. ความสำคัญของกล้ามเนื้อขาในการวิ่งและการเคลื่อนไหว
- กล้ามเนื้อขาเป็น “ศูนย์กลางพลังงาน” ของร่างกายที่ช่วยในการทรงตัว เคลื่อนไหว และดูดซับแรงกระแทก
- นักวิ่งที่มีกล้ามเนื้อขาแข็งแรง ยืดหยุ่น รวมถึงความคล่องแคล่ว จะสามารถวิ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ เช่น กล้ามเนื้อฉีกขาดหรือเจ็บเข่า
- แม้แต่คนทั่วไป การมีสุขภาพกล้ามเนื้อขาที่ดี ยังช่วยให้ทำกิจวัตรประจำวัน เช่น เดินขึ้นบันได ยกของหนัก หรือยืนทำงาน ได้อย่างไม่ปวดเมื่อย
2. ท่าออกกำลังกายเสริมสร้างกล้ามเนื้อขา (Strengthening Exercise)
การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาเป็นวิธีที่ช่วยให้กล้ามเนื้อทนทานต่อแรงกดและแรงกระแทก ตัวอย่างท่าที่ทำได้ง่าย ได้แก่:
- Squat: พัฒนากล้ามเนื้อ Quadriceps, Hamstrings และ Glute

- Lunge: เสริมสร้างความแข็งแรงและการทรงตัวของทั้งต้นขาและสะโพก

- Calf Raise: ช่วยเสริมความแข็งแรงของน่องและข้อเท้า ลดการเกิดตะคริว

งานวิจัยจาก Journal of Athletic Training ระบุว่าการฝึกความแข็งแรงแบบ Progressive Loading สามารถลดโอกาสการบาดเจ็บซ้ำในนักกีฬาได้อย่างมีนัยสำคัญ
3. ท่ายืดกล้ามเนื้อขา (Stretching Exercise)
การยืดกล้ามเนื้อขาเป็นอีกหนึ่งวิธีป้องกันการตึงและการบาดเจ็บ โดยท่าที่ควรทำเป็นประจำ ได้แก่:
- Hamstring Stretch: ช่วยยืดกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง ลดความเสี่ยงอาการเจ็บเข่าและปวดหลัง

- Quadriceps Stretch: ยืดต้นขาด้านหน้า เพิ่มความสมดุลในการทำงานของเข่า

- Calf Stretch: ลดตะคริวและอาการเจ็บน่องจากการวิ่งหรือเดินนานๆ

ควรทำการยืดค้างไว้ 20-30 วินาที ต่อครั้ง ทำท่าละ 3-5 ครั้ง โดยความรู้สึกตอนยืดให้รู้สึกเพียงแค่อาการตึง ไม่จำเป็นต้องตึงจนรู้สึกเจ็บ
4. การดูแลตัวเองในชีวิตประจำวัน
- วอร์มอัพก่อนเล่นกีฬา: ช่วยเตรียมกล้ามเนื้อและระบบไหลเวียนโลหิต
- คูลดาวน์หลังออกกำลังกาย: ลดการสะสมของกรดแลกติก ป้องกัน DOMS (Delayed Onset Muscle Soreness)
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ป้องกันภาวะขาดน้ำและตะคริว
- พักผ่อนเพียงพอ: ช่วยให้กล้ามเนื้อซ่อมแซมและฟื้นฟูได้เต็มที่
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์หรือนักกายภาพบำบัด
แม้ว่าอาการปวดกล้ามเนื้อขา ส่วนใหญ่สามารถหายได้ด้วยการพักและการดูแลเบื้องต้น แต่ก็มีหลายกรณีที่ไม่ควรมองข้าม เพราะอาจเป็นสัญญาณของการบาดเจ็บรุนแรงหรือโรคที่ซ่อนอยู่ การรู้ว่าเมื่อใดควรเข้าพบแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดจะช่วยให้ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันเวลา
1. ปวดรุนแรงจนเคลื่อนไหวไม่ได้
- หากมีอาการเจ็บแปลบเฉียบพลันหรือปวดจนไม่สามารถเดิน วิ่ง หรือแม้แต่ลุกนั่งได้ตามปกติ
- อาจบ่งบอกถึงการฉีกขาดของกล้ามเนื้อหรือน้ำในข้อผิดปกติ
2. อาการไม่ดีขึ้นภายใน 7–14 วัน
- หากพัก ยืดเหยียด หรือใช้วิธีดูแลทั่วไปแล้วแต่อาการยังคงอยู่
- นี่อาจหมายถึงการบาดเจ็บลึกที่ต้องได้รับการตรวจประเมินและกายภาพบำบัดเฉพาะทาง
3. มีอาการบวม ร้อน แดง หรือช้ำชัดเจน
- เป็นสัญญาณของการอักเสบเฉียบพลัน หรือมีเลือดคั่งในกล้ามเนื้อ
- หากบวมมากหรือปวดร้าวร่วมด้วย ควรรีบตรวจหาสาเหตุ เช่น กล้ามเนื้อฉีกหรือเส้นเลือดมีปัญหา
4. มีประวัติการบาดเจ็บซ้ำ ๆ
- นักกีฬาที่มักบาดเจ็บตรงจุดเดิมบ่อย ๆ เช่น เจ็บ Hamstring ซ้ำ
- บ่งบอกว่ากล้ามเนื้อไม่แข็งแรงหรือการฟื้นฟูไม่สมบูรณ์
5. ปวดร้าวลงขา หรือมีอาการร่วมทางประสาท
- หากปวดร้าวจากเอวลงขา ชา หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง อาจเกี่ยวข้องกับปัญหาเส้นประสาท เช่น หมอนรองกระดูกทับเส้น (Sciatica) ซึ่งต้องรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญทันที
หากคุณมีอาการตามที่กล่าวมาข้างต้น การเข้าพบ นักกายภาพบำบัด หรือ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ไม่เพียงช่วยบรรเทาอาการ แต่ยังช่วยให้คุณได้รับการตรวจประเมินต้นเหตุของปัญหา วางแผนการรักษา และป้องกันการบาดเจ็บซ้ำได้อย่างยั่งยืน
สรุป
อาการ ปวดกล้ามเนื้อขา อาจดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่จริง ๆ แล้วเป็นสัญญาณที่บอกว่ากล้ามเนื้อของคุณกำลังทำงานหนักจนเกินไป หรืออาจเกิดการบาดเจ็บที่ซ่อนอยู่ หากละเลย อาการที่เริ่มจากปวดเมื่อยเล็กน้อยอาจลุกลามจนกลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันและการเล่นกีฬา
การรักษาด้วย กายภาพบำบัด ไม่เพียงช่วยบรรเทาอาการปวด แต่ยังช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้กลับมาแข็งแรง ปรับสมดุลการเคลื่อนไหว และสอนวิธีป้องกันไม่ให้กลับมาเจ็บซ้ำอีก ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้คุณมั่นใจได้ว่า จะสามารถกลับมาใช้ชีวิตและทำกิจกรรมที่รักได้อย่างเต็มที่
ทำไมควรเลือก MoveOn Clinic?
- ทีมงานนักกายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญด้านการบาดเจ็บจากกีฬาและการฟื้นฟู
- ใช้เทคนิคเฉาะที่ทันสมัย เช่น Sport Massage, Focus Shockwave, และโปรแกรม Therapeutic Exercise
- วางแผนการรักษาเฉพาะบุคคลตามอาการและเป้าหมายของผู้รับบริการ
- เราตั้งใจดูแลใกล้ชิดเหมือนเพื่อนคู่คิดด้านสุขภาพ
นัดหมายวันนี้ เพื่อก้าวแรกของการฟื้นฟู
หากคุณกำลังเผชิญกับอาการ ปวดกล้ามเนื้อขา อย่ารอจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ เริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่ตอนนี้ด้วยการตรวจประเมินและรักษากับนักกายภาพบำบัดที่ MoveOn Clinic
คลิกที่นี่เพื่อนัดหมาย หรือสอบถามเพิ่มเติมกับทีมงานผู้เชี่ยวชาญของเราได้ทันที

