ปวดสะบักคืออะไร? เกี่ยวอะไรกับอาการปวดหลัง?
“ปวดสะบัก” มักหมายถึงอาการเจ็บตึงบริเวณสะบัก (Scapula) หรือแผ่นหลังด้านบน ซึ่งเชื่อมโยงกับกล้ามเนื้อหลายมัด เช่น trapezius, rhomboid และ levator scapulae อาการนี้อาจรู้สึกเหมือน “สะบักจม” หรือ “ปวดลึกๆ” คล้ายมีของหนักกดทับอยู่
โดยทั่วไปแล้ว อาการปวดสะบักมักเชื่อมโยงกับ “อาการปวดหลัง” ส่วนบน และมีแนวโน้มพัฒนาไปสู่การปวดหลังส่วนอื่นๆ ได้หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม
สาเหตุที่พบบ่อยของอาการปวดสะบักในวัยทำงาน
อาการปวดสะบักมักเกิดขึ้นได้จากพฤติกรรมในชีวิตประจำวันโดยเฉพาะในกลุ่มคนวัยทำงานที่ต้องใช้กล้ามเนื้อซ้ำ ๆ หรืออยู่ในท่าทางเดิมเป็นเวลานาน สาเหตุหลักที่พบบ่อยมีดังนี้:
1. ท่าทางการทำงานที่ไม่เหมาะสม
การนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นานๆ โดยไม่มีการพัก การนั่งหลังค่อม ยกไหล่ หรือการใช้เก้าอี้ที่ไม่รองรับแนวกระดูกสันหลังอย่างเหมาะสม ล้วนส่งผลให้กล้ามเนื้อรอบสะบักทำงานหนักและเกิดการตึงตัวสะสม เมื่อสะสมมากขึ้นอาจนำไปสู่อาการปวดลึกบริเวณสะบักหรือสะบักจมได้
2. ความเครียดและภาวะกล้ามเนื้อตึงเรื้อรัง
ความเครียดสะสมไม่เพียงแต่ส่งผลต่อจิตใจเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณบ่า ไหล่ และสะบักเกิดอาการเกร็งโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะในคนที่มีแนวโน้มเครียดง่ายหรืออยู่ในสภาวะแวดล้อมที่กดดัน มักพบว่ามีอาการตึงที่บริเวณสะบักอยู่บ่อยครั้ง
3. การยกของหนักหรือใช้งานแขนผิดท่า
พฤติกรรมการยกของผิดท่า เช่น การยกของโดยใช้กล้ามเนื้อแขนเพียงอย่างเดียว ไม่ใช้กำลังจากแกนกลางลำตัวหรือขา อาจก่อให้เกิดแรงกดที่กล้ามเนื้อรอบสะบักอย่างเฉียบพลัน จนเกิดอาการเจ็บ ปวด หรืออักเสบได้
นอกจากนี้ การออกกำลังกายที่เน้นเฉพาะกล้ามเนื้อบางกลุ่ม เช่น การเล่นเวทเฉพาะส่วนโดยไม่สมดุล อาจทำให้กล้ามเนื้อรอบสะบักอ่อนแรงหรือตึงตัวเกินไปจนเกิดการบาดเจ็บ
4. การพักผ่อนไม่เพียงพอและการนอนในท่าที่ไม่เหมาะสม
การนอนหลับไม่ลึกหรือนอนในท่าที่ไม่เหมาะสม เช่น นอนตะแคงแล้วไหล่ถูกกดทับ หรือใช้หมอนที่สูงเกินไป อาจทำให้กล้ามเนื้อบริเวณสะบักเกิดการหดเกร็งต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดอาการปวดสะบักในช่วงเช้าเมื่อตื่นนอน
5. ความผิดปกติของกระดูกสันหลังหรือหมอนรองกระดูก
ในบางกรณี อาการปวดสะบักอาจไม่ใช่เพียงปัญหากล้ามเนื้อ แต่เกี่ยวข้องกับกระดูกสันหลังส่วนบน เช่น หมอนรองกระดูกเคลื่อนหรือเสื่อม ที่ส่งผลให้เส้นประสาทบริเวณสะบักเกิดการกดทับ อาการที่พบได้คือ ปวดร้าวลึก มีอาการชาร่วมด้วย หรือปวดลามจากสะบักไปถึงแขน
สัญญาณเตือนของอาการที่ไม่ควรมองข้าม
แม้อาการปวดสะบักหรือปวดหลังในช่วงแรกอาจดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่หากละเลยหรือปล่อยไว้นาน อาจลุกลามจนส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และกลายเป็นอาการเรื้อรังได้ สัญญาณเหล่านี้ถือเป็น “สัญญาณเตือน” ที่ไม่ควรมองข้าม:
1. ปวดสะบักหรือปวดหลังนานเกิน 2 สัปดาห์
หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 1–2 สัปดาห์ แม้จะพักผ่อน ยืดเหยียด หรือทายาแล้ว แสดงว่าอาจมีปัญหาลึกกว่ากล้ามเนื้อตึงทั่วไป เช่น ความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อ หรือโครงสร้างกระดูกสันหลังผิดปกติ
2. ปวดร้าวจากสะบักไปยังส่วนอื่นของร่างกาย
เช่น ปวดลามไปที่คอ ไหล่ หรือแขน โดยเฉพาะหากมีอาการปวดร้าวลงแขน ชา หรือรู้สึกอ่อนแรง ร่วมด้วย อาจเป็นสัญญาณของการกดทับเส้นประสาท หรือหมอนรองกระดูกเคลื่อน
3. ปวดตอนตื่นนอน หรือหลังอยู่ท่าเดิมนาน ๆ
หากตื่นขึ้นมาแล้วมีอาการปวดแบบ “หนัก ๆ” ที่สะบักหรือกลางหลัง และต้องขยับตัวหรือยืดตัวสักพักอาการจึงดีขึ้น แสดงว่ามีการตึงสะสมของกล้ามเนื้อหรือลักษณะโครงสร้างที่ผิดปกติระหว่างการนอน
4. ปวดจนรบกวนการนอนหรือใช้ชีวิตประจำวัน
อาการปวดที่ทำให้ต้องลุกขึ้นกลางดึก หรือไม่สามารถทำกิจกรรมพื้นฐาน เช่น ขับรถ ยกของ หรือแม้แต่เดินได้นาน ๆ ได้ แสดงว่าอาการเริ่มส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต และควรเข้ารับการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญ
5. ใช้ยาแก้ปวดแล้วไม่ดีขึ้น
หากใช้ยาแก้ปวด หรือสเปรย์คลายกล้ามเนื้อแล้วอาการดีขึ้นเพียงเล็กน้อย หรือกลับมาเป็นซ้ำๆ แสดงว่ากำลังรักษาที่ปลายเหตุ และอาจมีปัญหาพื้นฐานที่ยังไม่ได้รับการวินิจฉัยหรือแก้ไข
กายภาพบำบัดช่วยรักษาอาการปวดสะบัก-ปวดหลังได้อย่างไร?
กายภาพบำบัดไม่ใช่แค่การนวด แต่เป็นศาสตร์ที่วิเคราะห์รากของปัญหาเพื่อวางแผนการฟื้นฟูอย่างเป็นระบบ โดยใช้เทคนิคต่างๆ
วิธีการรักษาที่นิยม
-
Manual Therapy: เทคนิคการคลายกล้ามเนื้อเฉพาะจุด
-
Therapeutic Exercise: โปรแกรมออกกำลังกายเฉพาะบุคคล
-
Electrotherapy / Ultrasound: ช่วยลดการอักเสบและคลายกล้ามเนื้อ
-
Posture Training: ฝึกปรับท่าทางให้เหมาะสมในชีวิตประจำวัน
ตารางเปรียบเทียบแนวทางรักษาอาการปวดสะบัก
วิธีรักษา | จุดเด่น | เหมาะกับใคร |
---|---|---|
กายภาพบำบัด (Physical Therapy) | วิเคราะห์สาเหตุเชิงโครงสร้าง ฟื้นฟูอย่างตรงจุด | คนที่มีอาการเรื้อรัง ต้องการฟื้นฟูในระยะยาว |
การนวดทั่วไป | ผ่อนคลายกล้ามเนื้อระยะสั้น | เหมาะกับอาการเล็กน้อย ผ่อนคลายชั่วคราว |
กินยาแก้ปวด | ลดอาการทันทีแต่ไม่แก้ที่ต้นเหตุ | ใช้ในกรณีเฉียบพลันหรือร่วมกับวิธีอื่น |
การปรับพฤติกรรมและออกกำลัง | ลดโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ | คนทำงานประจำ หรือคนที่เคยมีอาการบ่อย |
วิธีป้องกันอาการปวดสะบัก-ปวดหลังในชีวิตประจำวัน
-
นั่งทำงานให้ถูกหลัก: พนักเก้าอี้ควรรับหลังส่วนบน หน้าจอคอมควรอยู่ในระดับสายตา
-
ยืดเหยียดทุก 1-2 ชั่วโมง: โดยเฉพาะกล้ามเนื้อคอ บ่า หลัง
-
ปรับท่านอนให้ดีต่อกระดูกสันหลัง: เช่น การใช้หมอนที่พอดีกับต้นคอ
-
ลดน้ำหนักกระเป๋าหรือของที่ถือประจำ
-
จัดการความเครียดด้วยการหายใจลึก หรือทำสมาธิ
📞 จองวันนี้ เพื่อรับโปรโมชั่นพิเศษกับทางคลินิก
หากคุณเริ่มมีอาการปวดเรื้อรังจากออฟฟิศซินโดรม อย่ารอช้า! การเริ่มรักษาเร็วจะช่วยให้หายเร็วขึ้น
📍 ปรึกษาฟรีกับนักกายภาพบำบัดของเรา คลิกเลย: [LINE Official] หรือโทร 062-519-8865