หลายคนที่ปวดหลังเรื้อรัง ลองมาหมดแล้วทั้งนวด ยืด ออกกำลังกาย เสริมกล้ามเนื้อ แต่ยังกลับมาเจ็บซ้ำอยู่เรื่อย ๆ จนเริ่มตั้งคำถามว่า… “ฉันทำอะไรผิด? หรือหลังฉันแค่แย่เกินกว่าจะดีขึ้นแล้ว?”

      ความจริงคือ ปัญหาปวดหลังจำนวนมากไม่ได้เกิดจาก “กล้ามเนื้อหลังอ่อนแอ” เพียงอย่างเดียว
แต่อาจมาจากระบบควบคุมการเคลื่อนไหวของลำตัวที่ทำงานผิดสมดุล

      เรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้คือ การหายใจที่ผิดวิธี ส่งผลให้กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core) ทำงานไม่สอดประสานกัน ทำให้กระดูกสันหลังต้องรับแรงเกินความจำเป็น และนำไปสู่ “อาการปวดหลังเรื้อรัง” ในที่สุด

      การหายใจที่ถูกต้อง โดยเฉพาะการใช้กะบังลม (Diaphragm) จะช่วยให้กล้ามเนื้อแกนกลางระดับลึก เช่น Transversus abdominis (TA), Multifidus, Pelvic floor
ทำงานร่วมกันเป็นทีม เพื่อพยุงกระดูกสันหลังให้มั่นคง แม้ในจังหวะการก้ม ยกของ หมุนตัว หรือออกแรงหนักในชีวิตประจำวัน

ดังนั้น การฝึกหายใจจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ หรือเป็นเพียงเทคนิคผ่อนคลายเท่านั้น แต่เป็น “กุญแจสำคัญ” ที่ทำให้รากฐานของการเคลื่อนไหวกลับมาทำงานถูกต้องอีกครั้ง

ถ้าเราหายใจถูก หลังจะไม่ต้องทำงานหนักแทน อาการปวดหลังจึงค่อย ๆ ลดลงอย่างเป็นธรรมชาติและยั่งยืนกว่า

เพราะการแก้ปวดหลังที่ยั่งยืนต้องเริ่มจาก “การควบคุมร่างกายที่ต้นเหตุ” ไม่ใช่แค่การคลายอาการชั่วคราว

ปวดหลังเรื้อรัง อาจไม่ใช่ปัญหาที่ “หลัง” แต่เป็นเรื่องของ “การหายใจ”

      เวลาปวดหลัง หลายคนมักโฟกัสไปที่บริเวณที่ปวด นวดหลัง ยืดหลัง ทายาแก้ปวดหลัง
แต่พอหยุดทำ…ก็ปวดกลับมาอีก

เพราะต้นตอของอาการปวดหลังบางครั้ง ไม่ได้อยู่ที่ “หลัง” แต่อยู่ที่ “วิธีหายใจ” ที่ผิดพลาดมาตลอด

      เมื่อเราหายใจตื้น ยกไหล่ หรือเกร็งหน้าท้องผิดแบบ กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวลึกที่ควรรับบท “ตัวช่วยปกป้องหลัง” กลับหยุดทำงาน หรือทำงานช้ากว่าปกติ ทำให้กล้ามเนื้อหลังและสะโพกต้องแบกภาระแทนทั้งหมด

ผลคือ

  • ปวดหลังเรื้อรัง
  • เจ็บเวลาใช้แรงหรือออกกำลังกาย
  • เหนื่อยง่าย เพราะกลไกหายใจไม่มีประสิทธิภาพ

นักวิจัยเรียกภาวะนี้ว่า Motor Control Dysfunction คือร่างกายใช้ “กล้ามเนื้อที่ผิดตัว” ในการพยุงกระดูกสันหลัง

      ดังนั้น แม้คุณจะออกกำลังกายเสริม core ทำ Plank ยกเวท หรือเล่นคลาสหนักแค่ไหน ถ้าหายใจยังผิดอยู่ กล้ามเนื้อแกนกลางที่แท้จริงก็ยังไม่ทำงาน และปัญหาปวดหลังก็จะวนกลับมาเหมือนเดิม

การฝึกหายใจให้ถูกจึงเป็น “พื้นฐานของพื้นฐาน” ที่ช่วยให้ระบบประคองกระดูกสันหลังกลับมาใช้งานได้อย่างที่ควรจะเป็น

เพราะร่างกายคุณ ไม่ได้เจ็บเพราะมันอ่อนแอ แต่เพราะมันใช้วิธีที่ไม่ถูกต้องต่างหาก

Core จริง ๆ คืออะไร? ไม่ใช่แค่ซิทอัพหรือแพลงก์

เวลาเราพูดถึง “Core” คนส่วนใหญ่มักนึกถึง ซิทอัพ แพลงก์ หรือกล้ามท้องที่มองเห็นจากภายนอก

แต่ความจริงแล้ว Core ที่แท้จริงคือระบบการพยุงกระดูกสันหลังจากด้านใน ประกอบด้วยกล้ามเนื้อ 4 กลุ่มหลักที่เรียกว่า Local Stabilizers ได้แก่

  • Diaphragm กล้ามเนื้อกะบังลม ควบคุมแรงดันลำตัว
  • Transversus Abdominis (TA) กล้ามท้องชั้นลึกที่สุด ทำหน้าที่เหมือน “เข็มขัดพยุงหลังตามธรรมชาติ”
  • Multifidus กล้ามเนื้อเล็ก ๆ ตลอดแนวหลัง ควบคุมการขยับข้อกระดูกสันหลัง
  • Pelvic Floor พื้นอุ้งเชิงกรานรับน้ำหนักและประสานกับการหายใจ

ทั้งหมดนี้ทำงานเป็นทีม เพื่อ “ล็อก” กระดูกสันหลังให้มั่นคงระหว่างการเคลื่อนไหวทุกทิศทาง

      ในขณะที่กล้ามเนื้อที่เรามักฝึกกัน เช่น Rectus Abdominis (ซิกแพ็ก), Obliques, Erector Spinae คือกล้ามเนื้อ “Global muscles” มีหน้าที่ขยับตัวและสร้างแรง ไม่ใช่รับผิดชอบเรื่องความมั่นคงโดยตรง

      นี่คือสาเหตุว่า แม้จะ Plank เก่ง ซิทอัพได้หลายร้อยครั้ง แต่ถ้า “Local Core” ยังไม่ทำงาน อาการปวดหลังก็ยังไม่หายเพราะกระดูกสันหลังยังไม่มีระบบป้องกันที่ออกแบบมาเพื่อมันจริง ๆ

กล่าวง่าย ๆ คือCore ที่ดีไม่ได้วัดจากความแข็งแรงที่เห็น แต่จากความมั่นคงที่รู้สึกได้จากภายใน

และกุญแจที่เปิดระบบนี้ก็คือ การหายใจด้วยกะบังลม นั่นเอง

ทำไมการหายใจแบบกะบังลมจึงช่วยลดปวดหลัง

      การหายใจแบบกะบังลม (Diaphragmatic breathing) ไม่ได้เป็นเพียงเทคนิคผ่อนคลาย แต่เป็น “กลไกเสถียรภาพแกนกลาง” ที่เชื่อมระบบหายใจเข้ากับระบบควบคุมการเคลื่อนไหว เมื่อกะบังลมทำงานถูกต้อง มันจะประสานกับ Transversus abdominis (TA), Multifidus และ Pelvic floor เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่กระดูกสันหลังปลอดภัยขึ้น ลดภาระเกินของกล้ามเนื้อผิว และลดอาการปวดหลังได้อย่างมีนัยสำคัญ

กลไกหลักที่ทำให้ปวดหลังลดลง

  1. เพิ่มความดันในช่องท้อง (IAP) อย่างสมดุล
    เมื่อกะบังลมเลื่อนลงระหว่างหายใจเข้า แรงดันภายในลำตัวเพิ่มขึ้นเหมือน “ตัวรัดจากด้านใน” ช่วยพยุงกระดูกสันหลัง และลดแรงเฉือนที่ปลายกระดูกสันหลัง (L5/S1) ขณะก้ม ยก หมุน หรือออกแรง
  2. ปลุก Local Core ให้ติดอัตโนมัติ (TA–PF–Multifidus–Diaphragm)
    การหายใจแบบกะบังลมเป็นธรรมชาติทำให้ TA และ Pelvic floor เปิดทำงานก่อนการเคลื่อนไหวเล็กน้อย (feed-forward activation) ทำให้กระดูกสันหลัง “ล็อกเสถียร” ก่อนลงแรง ลดการสะดุดหรือเจ็บแปลบเวลาขยับ
  3. ลดการชดเชยของกล้ามเนื้อมัดนอก (Global Overactivity)
    เมื่อหายใจตื้นยกไหล่/แอ่นหลัง กล้ามเนื้ออย่าง erector spinae, rectus abdominis, obliques จะเกร็งค้างเกินจำเป็น ส่งผลให้หลังล้าและปวดเรื้อรัง การใช้กะบังลมที่ถูก ช่วยลดภาระจากกล้ามเนื้อมัดนอกลับสู่ระบบลึก
  4. ปรับการเคลื่อนไหวซี่โครง–กระบังลม–กระดูกสันหลัง
    การขยายซี่โครงด้านข้างและด้านหลัง (posterolateral expansion) ทำให้ทรวงอกเคลื่อนที่ดีขึ้น ลดการยกไหล่และการแอ่นหลังล่างขณะหายใจ ส่งผลให้แนวกระดูกสันหลังอยู่ในช่วงปลอดภัยนานขึ้นตลอดวัน
  5. ลดสัญญาณปวดจากระบบประสาทอัตโนมัติ
    หายใจแบบกะบังลมช้าและสม่ำเสมอช่วย parasympathetic tone ชลดความไวของระบบประสาทต่อความเจ็บปวด (central sensitization) จึงมักทำให้ “เจ็บน้อยลง–คลายง่ายขึ้น–ฟื้นเร็วขึ้น”

      หลักฐานวิชาการจาก BJSM, JOSPT และฐานข้อมูล PubMed สนับสนุนว่า โปรแกรมฝึกหายใจที่บูรณาการกับ motor control exercise ช่วยลดอาการปวดหลังล่างและปรับการทำงานของแกนกลางให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยแนวทางเวชปฏิบัติกายภาพบำบัดระบุให้ใช้เป็นส่วนหนึ่งของการฟื้นฟูระยะยาว

ความเข้าใจผิดที่พบบ่อย

  • “หายใจท้องพองคือถูกเสมอ”
    ที่ถูกคือซี่โครงกว้างด้านข้างและหลัง ไม่ใช่ดันท้องหน้าจนหลังล่างแอ่น
  • “กลั้นหายใจแล้วแข็งแรงกว่า”
    การกลั้นหายใจ (Valsalva) เพิ่ม IAP แต่ทำให้ความดันสูงและรูปแบบหายใจเสีย ควรใช้เฉพาะบริบทเฉพาะ ไม่ใช่การฝึกแก้ปวดประจำวัน
  • “ฝึก core คือทำแพลงก์ให้นาน”
    หากไม่มีการทำงานร่วมกับกะบังลมกับ TA/PF แพลงก์นานขึ้นอาจยิ่งตึงหลัง

วิธีเริ่มฝึกอย่างถูกระบบ 

  1. ตั้งแนวลำตัวเป็นกลาง
    นอนหงาย งอเข่า 90 องศา กระดูกเชิงกรานเป็นไม่คว่ำ หรือหงายเกินไป
  2. มือวางตรวจการขยายซี่โครง
    มือสองข้างแตะชายซี่โครงด้านข้าง ตั้งใจให้ “ซี่โครงผลิออกด้านข้างและทางหลัง” ไม่ใช่ยกไหล่
  3. หายใจเข้า 4–5 วินาที
    รับรู้กะบังลมลง ท้องป่อง ซี่โครงกว้างด้านข้าง/หลัง
  4. หายใจออก 5–6 วินาที
    ซี่โครงหุบ ลงน้ำหนักลมหายใจออกยาวขึ้นเล็กน้อย รู้สึก TA เกาะกระชับรอบลำตัวแบบ 20–30% โดยไม่แขม่วท้องแรง

ความถี่แนะนำ: วันละ 5–10 นาที, 2–3 เซ็ต, 4–6 สัปดาห์ แล้วค่อยไล่ระดับไปท่าฟังก์ชัน (ลุกนั่ง ยกของ สควอต)

สัญญาณว่าคุณกำลังทำถูก

  • หลังล่างไม่แอ่นหรือเกร็งค้าง
  • ไหล่ไม่ยก คอไม่ตึง
  • รู้สึกแน่นมั่นคงรอบเอว 360 องศาแบบเบา ๆ
  • ทำกิจกรรมเดิมได้ โดยปวดหลังลดลงและล้าช้าลง

ข้อควรระวัง และเมื่อใดควรพบผู้เชี่ยวชาญ

  • มีชาหรืออ่อนแรงลงขา, ปวดร้าวลงขา, กลั้นถ่ายผิดปกติ, ปวดกลางคืนรุนแรง
  • ปวดมากขึ้นชัดเจนแม้ฝึกเบา
  • มีภาวะโรคหัวใจ/ความดัน ต้องปรับโปรแกรมเฉพาะบุคคล

หากมีสัญญาณเหล่านี้ ควรรับการประเมินจากนักกายภาพบำบัดเพื่อปรับแผนหายใจและ motor control ให้ตรงจุดยิ่งขึ้น รวมถึงผนวกเข้ากับการฝึกแรง–ความทนทาน–รูปแบบการยกของในชีวิตจริง

3 ท่าฝึกหายใจลดปวดหลัง ทำตามได้ที่บ้าน

เป้าหมายของทุกท่า ให้กะบังลม (Diaphragm) ทำงานร่วมกับ Transversus abdominis (TA), Multifidus, Pelvic floor เพื่อสร้าง “ความมั่นคงจากภายใน” ขณะเคลื่อนไหว

เริ่มจากวันละ 5–10 นาที ทำต่อเนื่อง 4–6 สัปดาห์

1) Diaphragm Breathing + Rib Expansion

โฟกัส: เปิดการขยับซี่โครงและกะบังลมอย่างถูกต้อง เหมาะกับ: ผู้ที่หายใจตื้น ใช้ไหล่ช่วยหายใจ

วิธีทำ

  • นอนหงาย งอเข่า 90°
  • มือแตะชายซี่โครงทั้งสองข้าง
  • หายใจเข้า 4 วินาที → รู้สึกซี่โครงกว้างออกด้านข้าง/ด้านหลัง
  • หายใจออก 5 วินาที → ซี่โครงหุบลงอย่างนุ่มนวล
  • ทำ 10–12 ลมหายใจ (2–3 รอบ)

จุดเช็ค
✓ ไหล่ไม่ยก
✓ หลังล่างไม่แอ่น

2) 90/90 Breathing with Core Activation

โฟกัส: ลดชดเชยหลังล่าง เปิด TA ให้ทำงานอัตโนมัติ เหมาะกับ: คนที่ปวดหลังตอนยกขา/ออกแรง

วิธีทำ

  • นอนหงาย ชันขาติดผนัง สะโพกและเข่า 90°
  • มือวางที่หลังส่วนล่างเพื่อเช็คการแอ่น
  • หายใจเข้าให้ซี่โครงขยาย → หายใจออกค่อยเก็บลำตัวกระชับเบา ๆ (ไม่แขม่ว)
  • 8–10 ลมหายใจ x 2 รอบ

จุดเช็ค
✓ หน้าท้องเรียบ ไม่ดันขึ้นเป็นโดม
✓ คอ ไหล่ สบาย ไม่เกร็ง

3) Dead Bug with Breathing

โฟกัส: ความมั่นคงของแกนกลางระหว่างเคลื่อนไหวของแขนและขา
เหมาะกับ: ผู้ที่ออกกำลังกายและยังปวดหลังอยู่

วิธีทำ

  • นอนหงาย เข่า 90° แขนชี้ขึ้น
  • หายใจเข้า → เตรียมแกนกลาง
  • หายใจออก → เหยียดแขน-ขาข้างตรงข้ามลงช้า ๆ โดยหลังไม่แอ่น
  • 6–10 ครั้งต่อข้าง x 2 รอบ

จุดเช็ค
✓ เอวไม่ลอย
✓ การเคลื่อนไหวยังคุมได้แม้ใช้แรงมากขึ้น

ถ้าทำถูก คุณจะรู้สึกว่า

  • หลังล่างไม่ล้าแม้ใช้แรง
  • ทรงตัวดีขึ้นเวลาลุก ยกของ หรือสควอต
  • อาการปวดลดลงหลัง 1–2 สัปดาห์
  • หายใจลึกและสบายขึ้นในชีวิตประจำวัน

ถ้ายังรู้สึกปวด/หลังแอ่นมาก

แสดงว่าระบบแกนกลางลึกยัง ทำงานไม่สานสัมพันธ์กัน ต้องปรับโปรแกรมให้เหมาะกับร่างกายคุณโดยเฉพาะ

เมื่อไหร่ควรเข้าพบนักกายภาพบำบัด

แม้การฝึกหายใจด้วยตัวเองจะช่วยได้มาก แต่มีบางสัญญาณที่บอกว่าระบบแกนกลางและกระดูกสันหลังของคุณต้องการการดูแลใกล้ชิดจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเคลื่อนไหว

หากมีอาการเหล่านี้ ควรเข้ารับการประเมินทันที

  1. ปวดหลังเรื้อรังเกิน 6 สัปดาห์
  2. ปวดมากขึ้นเวลาออกแรง ก้ม ยกของ หรือเล่นกีฬา
  3. มีอาการปวดร้าวลงขา ชา หรืออ่อนแรงร่วมด้วย
  4. หลังล่างล้าตลอด แม้ทำกิจกรรมพื้นฐาน
  5. ฝึก Core มาแล้ว (Plank/Dead bug) แต่ยังปวดเหมือนเดิม
  6. รู้สึกว่าควบคุมท่าทางได้แย่ลง ยิ่งพยายามยิ่งปวด
  7. มีท่าชดเชยชัดเจน เช่น แอ่นหลังมากเวลาหายใจหรือออกกำลังกาย
  8. ปวดจนรบกวนคุณภาพชีวิต การนอน หรือการทำงาน

อาการเหล่านี้มักเกิดจาก ระบบควบคุมการเคลื่อนไหว (Motor Control) ทำงานผิดสมดุล ซึ่งการแก้ไขต้องใช้การประเมินแบบเฉพาะบุคคล เช่น

  • วิเคราะห์การหายใจ
  • การทำงานของกล้ามเนื้อท้องลึก
  • การทรงตัวของเชิงกรานและกระดูกสันหลัง
  • วิเคราะห์รูปแบบการเคลื่อนไหวในชีวิตจริง

หากไม่แก้ไขที่ “ต้นเหตุ” อาการปวดหลังมักวนกลับมาเรื่อย ๆ และอาจลุกลามมากขึ้น

เมื่อได้รับการฟื้นฟูที่เหมาะสม ร่างกายสามารถ เรียนรู้การควบคุมใหม่ และกลับมาทำงานได้อย่างปกติ

ดังนั้น อย่ารอจนปวดมากและต้องหยุดทุกอย่างที่รัก เริ่มดูแลให้ถูกจุดตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อให้ร่างกายกลับมาฟังก์ชันเต็มที่อีกครั้ง

ฟื้นฟูปวดหลังอย่างยั่งยืน ต้องเริ่มจากการควบคุมแกนกลางลำตัวที่ถูกต้อง

      การรักษาปวดหลังที่ยั่งยืน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่การนวด คลายกล้ามเนื้อ หรือกินยาแก้ปวด แต่อยู่ที่การปรับร่างกายให้กลับมาใช้กล้ามเนื้อที่ถูกต้อง เพื่อควบคุมกระดูกสันหลังทุกครั้งที่คุณขยับ

หากระบบควบคุมแกนกลางลำตัวยังผิดอยู่

  • ปวดก็จะกลับมา
  • กล้ามเนื้อผิวจะชดเชยมากเกินไป
  • กระดูกสันหลังต้องรับแรงซ้ำแบบผิด ๆ

แต่เมื่อคุณฟื้นฟูระบบนี้ได้ถูกหลัก โดยเริ่มจาก การหายใจที่นำการทำงานของ Local core กลับมา
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ

  • กระดูกสันหลังมั่นคงขึ้น
  • ปวดหลังลดลงอย่างเป็นธรรมชาติ
  • ทำกิจวัตรได้เต็มที่ขึ้น
  • ออกกำลังกายได้โดยไม่กลัวเจ็บ
  • คุณภาพชีวิตดีขึ้นระยะยาว

      นี่คือเหตุผลที่แนวทางกายภาพบำบัดสากล (APTA, Australian Guidelines, งานวิจัยจาก BJSM และ JOSPT) ต่างให้ความสำคัญกับ Breathing + Motor Control Trainingเป็นองค์ประกอบหลักของการฟื้นฟู Low Back Pain ในระยะยาว

เพราะถ้า “ฐาน” ดี ทุกการเคลื่อนไหวจะปลอดภัย มั่นคง และมีพลังมากขึ้น

ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นพนักงานออฟฟิศ นักกีฬา หรือคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ การเริ่มต้นฟื้นฟูด้วยการหายใจที่ถูกต้อง คือการลงทุนเพื่ออนาคตของหลังที่แข็งแรงกว่า

อาการปวดหลังเรื้อรังไม่ใช่สิ่งที่ “ต้องทน” และไม่ใช่สัญญาณว่าร่างกายของคุณแย่ลงทุกวัน แต่มันกำลังบอกว่า ระบบควบคุมการเคลื่อนไหวของคุณต้องการการปรับใหม่

การฝึกหายใจที่ถูกต้อง ไม่ได้เป็นแค่การผ่อนคลาย แต่มันคือจุดเริ่มต้นของการคืนสมดุลให้

  • กล้ามเนื้อแกนกลางลึก
  • กระดูกสันหลัง
  • และความมั่นใจในการเคลื่อนไหวของคุณ

ถ้าคุณปวดหลังมานาน ลองมาหลายวิธีแต่ยังไม่ดีขึ้น อาจถึงเวลาที่ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ระบบแกนกลางของคุณอย่างจริงจัง

ที่ Move On Clinic นักกายภาพบำบัดของเราจะช่วย

  • ประเมินการหายใจและการควบคุมแกนกลางลำตัว
  • วิเคราะห์ท่าทางและรูปแบบการเคลื่อนไหว
  • ออกแบบโปรแกรมฟื้นฟูเฉพาะบุคคล เพื่อให้คุณกลับไปใช้ชีวิต ออกกำลังกาย และทำสิ่งที่รักได้อย่างเต็มที่อีกครั้ง

      หายใจให้ถูก แล้วหลังของคุณจะดีขึ้นได้จริง เริ่มต้นวันนี้ เพื่อวันพรุ่งนี้ที่ไม่ต้องปวด ติดต่อและนัดประเมินได้ที่ Move On Clinic พร้อมดูแลคุณให้ก้าวเดินอย่างมั่นคงทุกก้าวของชีวิต