นักกีฬาจำนวนมากเคยมีประสบการณ์เจ็บแปลบที่ขาหนีบเวลาวิ่งออกตัว เตะบอล เปลี่ยนทิศทางเร็ว หรือเร่งสปีดระยะสั้น หลายครั้งอาการจะดีขึ้นเมื่อพัก แล้วกลับมาเป็นใหม่ทุกครั้งที่ซ้อมหนัก จนคิดไปเองว่าเป็นเรื่องปกติของคนเล่นกีฬา

      แต่ความจริงคือ อาการปวดขาหนีบไม่ใช่สิ่งที่ควร “ทนไป” เพราะมันอาจซ่อนสาเหตุเชิงโครงสร้างที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างถูกวิธี เช่น กล้ามเนื้อ adductor ที่ต้องรับแรงดึงสูงเกินไป ความไม่สมดุลของสะโพกและกระดูกเชิงกราน ไปจนถึงปัญหาข้อสะโพกที่เริ่มเสื่อมจากการใช้งานซ้ำแบบผิดรูปแบบ

ถ้าปล่อยไว้นาน อาการที่เริ่มจากความตึงเล็กน้อย อาจลุกลามจนกลายเป็นการอักเสบเรื้อรังที่ทำให้ไม่สามารถวิ่งหรือเตะได้เหมือนเดิม และเสี่ยงต้องหยุดเล่นกีฬานานขึ้นโดยไม่จำเป็น

ข่าวดีคือ เมื่อรู้สาเหตุที่แท้จริงและฟื้นฟูอย่างเหมาะสม นักกีฬาสามารถกลับไปฝึกได้อย่างมั่นใจ ลดโอกาสเจ็บซ้ำ และพัฒนาฟอร์มการเล่นได้เต็มความสามารถ

อาการปวดขาหนีบเป็นสัญญาณเตือนของร่างกาย คุณไม่จำเป็นต้องทนกับมัน และไม่ควรปล่อยให้มันหยุดความก้าวหน้าในสนาม

ทำไม “ปวดขาหนีบ” ถึงเป็นอาการยอดฮิตในนักกีฬา

      อาการปวดขาหนีบถือเป็นหนึ่งในการบาดเจ็บที่พบบ่อยที่สุดในนักกีฬาที่ต้องใช้การเคลื่อนไหวเฉียบพลัน เช่น วิ่งสปรินต์ เตะบอล หรือเปลี่ยนทิศทางรวดเร็ว งานวิจัยจาก British Journal of Sports Medicine รายงานว่า นักฟุตบอลมีอัตราบาดเจ็บบริเวณขาหนีบสูงติดอันดับต้น ๆ ของการบาดเจ็บช่วงขาและลำตัวล่าง ซึ่งสะท้อนว่าบริเวณนี้ต้องรับแรงมากเกินกว่าที่หลายคนคาดคิด

สาเหตุสำคัญที่ “ขาหนีบ” บาดเจ็บง่าย มาจากหน้าที่หลักของกล้ามเนื้อ adductor group ที่อยู่ด้านในต้นขา ซึ่งทำงานหนักในทุกการเคลื่อนไหวแบบกีฬา ไม่ว่าจะเป็น

  • ออกตัวจากจุดหยุดนิ่ง
  • เปลี่ยนทิศทางกะทันหัน
  • หยุดอย่างรวดเร็ว
  • เตะบอลแรง ๆ หรือเหวี่ยงขาในกีฬาต่าง ๆ

ระหว่างการเคลื่อนไหวเหล่านี้ กล้ามเนื้อ adductor ต้องรับแรงดึงและแรงเฉือนสูงมาก หากมีความอ่อนแรง ตึงตัว หรือทำงานไม่สมดุลกับสะโพกและแกนกลางลำตัว ก็จะเกิดการอักเสบหรือบาดเจ็บได้ง่าย

นอกจากนี้ การซ้อมหนักต่อเนื่องโดยไม่มีการฟื้นฟูเพียงพอ ยังทำให้เนื้อเยื่อเหนื่อยล้าสะสม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การบาดเจ็บเรื้อรังเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว

       บริเวณขาหนีบต้องทำงานหนักทุกครั้งที่คุณออกแรงเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว แต่กลับเป็นบริเวณที่หลายคนละเลยการเสริมความแข็งแรงหรือการฟื้นฟูให้เต็มที่ เมื่อแรงที่ต้องรับมากกว่าความสามารถที่มี ความบาดเจ็บจึงเกิดได้ง่าย และด้วยธรรมชาติของอาการที่มักเริ่มเพียงเล็กน้อย ทำให้นักกีฬาส่วนใหญ่เลือก “ทน” จนกลายเป็นเรื้อรังในที่สุด

สาเหตุหลักของอาการปวดขาหนีบในนักกีฬา (Doha Agreement Classification)

      สาเหตุของอาการปวดขาหนีบไม่ได้มีแค่ “กล้ามเนื้ออักเสบ” อย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่แบ่งได้อย่างชัดเจนเป็น 4 กลุ่มหลักตามการจำแนกของ Doha Agreement ซึ่งเป็นมาตรฐานการวินิจฉัยอาการปวดขาหนีบในนักกีฬา

การเข้าใจสาเหตุอย่างถูกต้อง คือกุญแจสำคัญของการฟื้นฟูที่ตรงจุดและป้องกันการเจ็บซ้ำเรื้อรัง

1) Adductor-related Groin Pain

ต้นเหตุที่พบบ่อยที่สุดในนักเตะและกีฬาที่ต้องเปลี่ยนทิศทางเร็ว เกิดจากกล้ามเนื้อกลุ่ม Adductor ด้านในต้นขาทำงานหนักเกินไป

สัญญาณที่บอกว่าใช่

  • เจ็บบริเวณด้านในต้นขาใกล้หัวหน่าว
  • เจ็บเวลา “บีบขาเข้าหากัน”
  • เจ็บชัดเวลาวิ่งสปีดหรือเตะบอล

จุดสำคัญ กล้ามเนื้อกลุ่มนี้ทำหน้าที่ “รักษาสมดุลลำตัวและหมุนสะโพก” ถ้าอ่อนแรงหรือตึงเกิน จะทำให้ขาหนีบรับแรงมากผิดปกติจนเกิดการอักเสบ

2) Iliopsoas-related Groin Pain

เกี่ยวข้องกับกล้ามเนื้อที่งอสะโพก (Hip Flexor) โดยเฉพาะ Iliopsoas

สัญญาณที่บอกว่าใช่

  • เจ็บลึกด้านหน้าขาหนีบตอนยกเข่าสูง
  • เจ็บตอนเริ่มเร่งสปีดหรือยกขาเตะ
  • มีเสียง “คลิ๊ก” หรือสะดุดบริเวณสะโพกบางครั้ง

กล้ามเนื้อนี้ทำงานหนักในกีฬา Sprint และ Sports ที่ใช้การยกขารวดเร็ว

3) Inguinal-related Groin Pain

เกี่ยวกับเนื้อเยื่อบริเวณผนังช่องท้องด้านในขาหนีบ บางครั้งคล้ายภาวะไส้เลื่อน (แต่ไม่ใช่ลำไส้ทะลักออกมา)

สัญญาณที่บอกว่าใช่

  • เจ็บบริเวณรอยต่อระหว่างหน้าท้องกับขาหนีบ
  • เจ็บเวลาไอ จาม หรือเกร็งหน้าท้องแรง ๆ
  • เจ็บตอนเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว

พบบ่อยในผู้เล่นกีฬาที่มีแรงดันช่องท้องสูง เช่น ฟุตบอล ฟุตซอล ฮอกกี้

4) Hip-related Groin Pain (FAI หรือ Labral pathology)

เกิดจากปัญหาข้อต่อสะโพก เช่น การเสียดสีกันของกระดูก (Femoroacetabular Impingement) หรือกระดูกอ่อนริมเบ้าสะโพกฉีกขาด (Labral tear)

สัญญาณที่บอกว่าใช่

  • เจ็บลึกในข้อสะโพก
  • ขยับสะโพกสุดมุมแล้วเจ็บ (งอ หมุน)
  • มีเสียงดังคลิ๊ก และรู้สึกล็อกในข้อ

ถือเป็นสาเหตุที่ต้องประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียด เพราะเกี่ยวข้องกับโครงสร้างข้อต่อโดยตรง

สิ่งที่ต้องเน้นย้ำกับนักกีฬา

  • ปวดขาหนีบไม่ใช่อาการเดียวกันทั้งหมด
  • การรักษาจึงต้องอิงสาเหตุ ไม่ใช่สูตรเดียวใช้กับทุกคน
  • การวินิจฉัยผิดอาจทำให้อาการเรื้อรังค้างนานหลายเดือน

การประเมินโดยนักกายภาพบำบัด คือขั้นตอนแรกที่ช่วยแยกความแตกต่างของสาเหตุเหล่านี้ได้อย่างแม่นยำ ด้วยการตรวจการทำงานของสะโพก กระดูกเชิงกราน และกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด

อาการแบบไหนที่ต้องระวัง?

      แม้หลายคนเริ่มจากอาการปวดเล็กน้อย แต่มีสัญญาณบางอย่างที่บอกชัดว่า ร่างกายไม่ได้แค่ล้า แต่กำลังมีปัญหาที่ต้องแก้ไขให้ตรงจุด หากพบข้อใดข้อหนึ่งด้านล่าง ควรหยุดฝืนและเข้ารับการประเมินทันที

ข้อควรระวังสำคัญ

  • ปวดลึกบริเวณขาหนีบ หรือร้าวลงต้นขา ขึ้นสะโพก
  • เจ็บเวลาเร่งสปีด ออกตัว หรือเปลี่ยนทิศทันที
  • เจ็บเวลาเตะบอลหรือบีบเข่าเข้าหากัน
  • มีอาการปวดมากกว่า 2-4 สัปดาห์แม้จะพักแล้ว
  • มีเสียงดังคลิ๊ก ลั่น สะดุดหรือข้อสะโพกเหมือนล็อก
  • ขยับข้อสะโพกได้ไม่สุดเท่าเดิม (หมุนหรือกางออกลำบาก)
  • ปวดรุนแรงตอนใช้แรงหน้าท้อง เช่น ไอ จาม ยกของ

ถ้าอาการเริ่มรบกวน

  • วิ่งได้ไม่สุด
  • เตะแรงไม่ได้
  • เคลื่อนไหวไม่มั่นใจเหมือนเดิม
    สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณว่า โครงสร้างหรือการควบคุมการเคลื่อนไหวมีปัญหา

โดยเฉพาะในนักฟุตบอล ฟุตซอล และนักกีฬาที่ต้องหมุนตัวเร็ว หากเล่นทับอาการต่อเนื่อง มีโอกาสกลายเป็นการอักเสบเรื้อรังที่รักษายากขึ้น และเสี่ยงต้องหยุดเล่นกีฬาเป็นเวลานานโดยไม่จำเป็น

สิ่งสำคัญที่อยากให้จำไว้ อาการปวดขาหนีบไม่มีคำว่า “เจ็บแบบปลอดภัย” ยิ่งรีบตรวจหาสาเหตุได้เร็วเท่าไหร่ ยิ่งฟื้นตัวได้เต็มที่และกลับไปซ้อมได้เร็วเท่านั้น

ทดสอบตัวเองเบื้องต้น (Self Screening)

      ก่อนจะตัดสินใจว่าควรหยุดซ้อมหรือเข้ารับการประเมินอย่างละเอียด นักกีฬาสามารถใช้แบบทดสอบง่าย ๆ ต่อไปนี้เพื่อตรวจสัญญาณเบื้องต้นของอาการปวดขาหนีบได้ หากทำแล้วรู้สึกเจ็บหรืออาการกำเริบ ถือเป็นสัญญาณว่าควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญโดยเร็ว

แบบทดสอบที่ 1
Adductor Squeeze Test

  1. นอนหงาย งอเข่าทั้งสองข้าง
  2. วางลูกบอลหรือหมอนระหว่างเข่า
  3. ออกแรงบีบเข่าเข้าหากันเต็มแรงประมาณ 5 วินาที
    ถ้าปวดในบริเวณขาหนีบด้านใน มีโอกาสสูงว่าเกี่ยวข้องกับกล้ามเนื้อ adductor

แบบทดสอบที่ 2
Single Leg Stance with Twist

  1. ยืนขาข้างเดียว
  2. หมุนลำตัวไปซ้ายและขวาช้า ๆ
    ถ้ารู้สึกเจ็บแปลบในสะโพกหรือขาหนีบ อาจมีปัญหาเรื่องความมั่นคงของสะโพกและแกนกลางลำตัว

แบบทดสอบที่ 3
Hip Flexion and Rotation Test

  1. ยืนหรือท่านั่ง
  2. งอสะโพกขึ้นแล้วหมุนเข้าด้านในหรือกางออกด้านนอก
    หากเจ็บลึกในข้อสะโพก หรือรู้สึกสะโพกลั่น อาจเกี่ยวข้องกับ Hip impingement หรือ labrum

แบบทดสอบที่ 4
Change of Direction Drill

  1. วิ่งช้า ๆ แล้วเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว
    ถ้าเจ็บเฉียบพลันทันทีบริเวณขาหนีบ → เป็นสัญญาณอันตรายที่ไม่ควรฝืนเล่นต่อ

ข้อควรจำระหว่างทดสอบ

  • ไม่ต้องฝืนทำจนสุด หากเจ็บให้หยุดทันที
  • หากอาการปวดต่ำแต่รู้สึกไม่มั่นใจ ให้จดบันทึกไว้เพื่อแจ้งนักกายภาพตอนประเมิน
  • ถ้า 2 ใน 4 ทดสอบแล้วเจ็บ แนะนำประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ

การทดสอบเหล่านี้ไม่ได้ทดแทนการวินิจฉัยจากนักกายภาพบำบัด แต่ช่วยบอกได้ว่า ร่างกายกำลังมีสัญญาณผิดปกติที่ควรรีบแก้ไข การรู้ให้ทัน คือการป้องกันการเจ็บซ้ำเรื้อรังที่ดีที่สุด

รักษาและฟื้นฟูอย่างไรให้กลับไปเล่นได้เต็มที่

      การรักษาอาการปวดขาหนีบในนักกีฬาไม่ใช่แค่การบรรเทาอาการปวด แต่ต้องแก้ที่ “ต้นเหตุ” และวางโปรแกรมฟื้นฟูให้ครบทุกระยะ ตั้งแต่ลดการอักเสบ ฟื้นฟูการทำงานของกล้ามเนื้อ ไปจนถึงกลับไปลงสนามได้อย่างมั่นใจโดยไม่เสี่ยงเจ็บซ้ำ

แนวทางการดูแลหลักตามมาตรฐานกายภาพบำบัดมีดังนี้

1) Manual Therapy และ Sport Massage ฟื้นตัวกล้ามเนื้อให้พร้อมใช้งาน

ช่วยลดความตึงของกล้ามเนื้อ adductor, iliopsoas และกลุ่มสะโพกที่ทำงานชดเชย รวมถึงปรับการทำงานของข้อต่อสะโพกและเชิงกรานให้เคลื่อนไหวได้ลื่นขึ้น

เทคนิคที่ใช้ประกอบด้วย

  • Myofascial Release
  • Active release technique (art)
  • Hip Joint & SI Joint Mobilization
  • Sport Massage สำหรับนักกีฬา เพื่อ
    • เพิ่มการไหลเวียนเลือด
    • ขจัดของเสียที่สะสมในกล้ามเนื้อหลังซ้อม
    • ลด DOMS และอาการตึงที่กระตุ้นการอักเสบซ้ำ

ผลลัพธ์ที่ได้

  • ปวดลดลง
  • การเคลื่อนไหวลื่นขึ้น
  • ระบบประสาทกล้ามเนื้อพร้อมสำหรับการฝึกขั้นถัดไป

Sport Massage ไม่ได้เป็นเพียงการคลายเมื่อย แต่เป็นการฟื้นฟูเชิงรุกที่ทำให้นักกีฬากลับมาซ้อมได้เร็วขึ้นอย่างปลอดภัย

2) Exercise Therapy ฟื้นฟูให้กลับมาแข็งแรงและมั่นคงกว่าก่อนเจ็บ

เป็นหัวใจสำคัญของการรักษา Groin pain rehab และจำเป็นสำหรับการป้องกันการเจ็บซ้ำ

ประกอบด้วย

  • การเสริมความแข็งแรงของ adductor group
  • การเพิ่มความมั่นคงของสะโพกและแกนกลางลำตัว (Core stability)
  • การปรับทักษะการเคลื่อนไหว (Motor control)
  • การฝึกความยืดหยุ่นของสะโพกทุกทิศทาง

โปรแกรมจะถูกแบ่งออกเป็น Phase ตามระดับความปวดและความสามารถ เช่น

  • Early stage: activation และ mobility
  • Intermediate: strength training
  • Return to sport: sprint, change of direction, kicking mechanics

3) Shockwave Therapy เมื่อมีการอักเสบเรื้อรังของเส้นเอ็น

ใช้ในกรณีของ Adductor tendinopathy หรือจุดกดเจ็บเรื้อรังที่ตอบสนองต่อการรักษาทั่วไปไม่ดี
ช่วยกระตุ้นการซ่อมสร้างเนื้อเยื่อ ลดการอักเสบ และเพิ่มการไหลเวียนในเส้นเอ็น เป็นตัวช่วย (Adjunct) ที่ดีในการเพิ่มประสิทธิภาพการฟื้นฟู

4) Load Management ควบคุมปริมาณการฝึกให้เหมาะสม

การซ้อมที่มากเกินไปหรือเปลี่ยนรูปแบบฝึกทันที
ทำให้เนื้อเยื่อไม่ทันปรับตัว
จึงต้องมีการ

  • ปรับตารางซ้อม
  • วางแผนเพิ่มความหนักอย่างเป็นระบบ
  • ติดตามอาการระหว่างซ้อมทุกช่วง

โดยมีนักกายภาพและโค้ชทำงานร่วมกัน

ทำให้หายจริง ต้องครบทั้ง 4 ส่วน

หากขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง อาการอาจดีขึ้นเพียงชั่วคราว หรือกลับมาเจ็บซ้ำทันทีเมื่อซ้อมหนักขึ้น

ที่ Move On Clinic เราฟื้นฟูตามหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์ และออกแบบโปรแกรมเฉพาะบุคคลให้สอดคล้องกับกีฬาและตำแหน่งผู้เล่น เพื่อให้คุณกลับเข้าเกมได้แข็งแรงและมั่นคงกว่าก่อนเจ็บเสมอ

ทำไมต้องรักษากับนักกายภาพบำบัด

      อาการปวดขาหนีบในนักกีฬาเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับหลายระบบในร่างกาย ทั้งกล้ามเนื้อ เอ็น ข้อต่อ และการควบคุมการเคลื่อนไหว หากวินิจฉัยสาเหตุผิด จุดที่รักษาอาจไม่ใช่จุดที่เป็นปัญหาจริง ทำให้แม้อาการปวดจะลดลงชั่วคราว แต่กลับมาเป็นซ้ำทันทีเมื่อซ้อมหนักขึ้น

นักกายภาพบำบัดจึงเป็นบุคคลที่เหมาะสมที่สุดในการประเมินและฟื้นฟูอาการนี้ ด้วยเหตุผลดังนี้

 1. ตรวจหาสาเหตุจากการทำงานของทั้งระบบการเคลื่อนไหว
ไม่ดูแค่จุดที่ปวด แต่ประเมินความเชื่อมโยงระหว่าง

  • สะโพก
  • กระดูกเชิงกราน
  • กล้ามเนื้อแกนกลาง
  • รูปแบบการวิ่งและการเตะ
    เพราะต้นเหตุที่แท้จริงมักเกิดจากความผิดปกติร่วมกัน

 2. วินิจฉัยตามมาตรฐานสากล
ใช้หลัก Doha Agreement และแบบทดสอบเฉพาะ เพื่อแยกว่าปวดเกิดจาก

  • Adductor
  • Iliopsoas
  • Inguinal area
  • ข้อสะโพก
    ซึ่งแนวทางรักษาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 3. ออกแบบโปรแกรมฟื้นฟูเฉพาะบุคคล
ไม่ใช้การรักษาแบบสูตรเดียว แต่เลือกเทคนิคให้สอดคล้องกับ

  • ประเภทกีฬา
  • ตำแหน่งที่เล่น
  • เป้าหมายการกลับลงสนาม (Return-to-Sport)

 4. ป้องกันการเจ็บซ้ำระยะยาว
ไม่ได้เน้นแค่ “ลดปวด” แต่ปรับ

  • ความแข็งแรง
  • ความยืดหยุ่น
  • การควบคุมการเคลื่อนไหว (Motor control)
    เพื่อให้ร่างกายรับภาระการฝึกได้ดีขึ้น

 5. ปลอดภัยสำหรับนักกีฬาทุกระดับ
ทุกการรักษาถูกควบคุมด้วยความรู้ด้านกายวิภาคและชีวกลศาสตร์
ลดความเสี่ยงการทำร้ายเนื้อเยื่อเพิ่มโดยไม่ตั้งใจ

ผลลัพธ์ที่นักกีฬาได้รับคือ

  • กลับไปเล่นได้เร็วขึ้น
  • ความมั่นใจในการเคลื่อนไหวกลับมาชัดเจน
  • ลดโอกาสเจ็บซ้ำจนต้องหยุดซ้อมนาน

เพราะเป้าหมายของนักกายภาพบำบัดไม่ใช่เพียงการทำให้ “หายปวด” แต่คือการทำให้คุณ “กลับมาแข็งแรงกว่าก่อนเจ็บ และเล่นได้ต่อเนื่องอย่างยั่งยืน”

อย่าปล่อยให้ปวดขาหนีบหยุดความก้าวหน้าในสนาม

      อาการปวดขาหนีบไม่ได้บอกแค่ว่าร่างกายคุณกำลังมีปัญหา แต่กำลังเตือนว่าศักยภาพของคุณกำลังถูกจำกัดโดยสิ่งที่แก้ไขได้ หากถึงเวลาวิ่งคุณต้องชะงักเพราะเจ็บ หรือเวลายิงประตูคุณต้องลดแรงเพื่อเลี่ยงอาการปวด นั่นหมายถึงความมั่นใจและประสิทธิภาพของคุณกำลังถดถอยไปทุกวัน

ความจริงคือ นักกีฬาที่เก่งขึ้นไม่ใช่คนที่ทนเจ็บเก่ง แต่คือคนที่รู้จักฟื้นฟูอย่างถูกวิธี

การประเมินและฟื้นฟูตั้งแต่ต้น คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้คุณ

  • กลับมาวิ่ง เร่งสปีด และเปลี่ยนทิศได้เต็มพลัง
  • เล่นได้ต่อเนื่องโดยไม่ต้องคอยกังวล
  • ป้องกันการบาดเจ็บเรื้อรังที่ทำให้ต้องหยุดพักนานหลายเดือน

      ที่ Move On Clinic เรามีทีมกายภาพบำบัดเฉพาะทางด้าน Sport Rehab  พร้อมช่วยคุณค้นหาต้นเหตุที่แท้จริงของอาการปวดขาหนีบ และวางโปรแกรมฟื้นฟูเฉพาะบุคคลเพื่อให้คุณกลับไปอยู่ในสนามอย่างมั่นใจอีกครั้ง

อย่ารอให้ปวดจนต้องหยุดซ้อม  เริ่มดูแลให้ถูกวิธีตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้ร่างกายพร้อมรองรับทุกจังหวะแห่งชัยชนะที่กำลังรอคุณอยู่

สอบถามและนัดหมายเพื่อตรวจประเมินอาการปวดขาหนีบได้ที่ Move On Clinic พร้อมช่วยนักกีฬาอย่างคุณกลับมาพัฒนาได้อย่างเต็มที่