อาการชาในนักกีฬาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้บ่อยกว่าที่คิด โดยเฉพาะในช่วงที่ร่างกายถูกใช้งานหนักเกินไป เช่น จับอุปกรณ์ฟิตเนสแน่น ๆ เป็นเวลานาน วิ่งเหยียบผิดท่า หรือมีแรงกดทับต่อเส้นประสาทระหว่างการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว หลายคนมองว่าเป็นอาการปกติของการออกกำลังกาย พักสักนิดเดี๋ยวก็หาย ทำให้ยังฝืนซ้อมหรือแข่งขันต่อไป

      แต่ความจริงแล้ว “อาการชา” คือสัญญาณเตือนที่ชัดเจนจากระบบประสาท ว่าเส้นประสาทกำลังถูกกดทับหรือระคายเคือง เมื่อเส้นประสาทเริ่มทำงานผิดปกติ ร่างกายจะส่งสัญญาณผ่านอาการชาหน่วง ๆ เหมือนมีไฟฟ้าช็อต หรือรู้สึกเหมือนผิวหนังบางส่วนหายไปชั่วคราว หากเพิกเฉยและยังคงใช้งานร่างกายต่อเนื่อง อาการชาจะค่อย ๆ รุนแรงขึ้น จนพัฒนาเป็นอาการอ่อนแรง กล้ามเนื้อควบคุมไม่ได้ หรือถึงขั้นต้องหยุดเล่นกีฬาเป็นเวลานาน

อาการชาจึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เพราะอาจบ่งบอกถึงภาวะร้ายแรง เช่น

  • หมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท (Herniated disc)
  • ช่องทางเส้นประสาทแคบจากท่าทางหรือกล้ามเนื้อตึง (Thoracic Outlet Syndrome, Piriformis syndrome ฯลฯ)
  • ความผิดปกติของเส้นประสาทบริเวณข้อมือ ข้อศอก สะโพก หรือข้อเท้า จากการใช้งานซ้ำ ๆ

      การสังเกตและดูแลอาการให้ถูกต้องตั้งแต่แรก คือจุดเริ่มต้นของการป้องกันการบาดเจ็บร้ายแรงในอนาคต นักกีฬาที่ดีไม่ได้มีแค่ความพยายามบนสนาม แต่ต้องรู้จักฟังสัญญาณจากร่างกาย และแก้ไขให้ทันเวลาก่อนที่จะเกิดปัญหาใหญ่ เพราะเป้าหมายของการออกกำลังกาย คือการพัฒนา ไม่ใช่ทำร้ายร่างกายโดยไม่รู้ตัว

อาการชาในนักกีฬาเกิดขึ้นได้อย่างไร

      อาการชาเป็นสัญญาณเตือนจากระบบประสาท เมื่อเส้นประสาทถูกกดทับ บิดยืด หรือเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ ทำให้การสื่อสารระหว่างสมองและกล้ามเนื้อสะดุดชั่วคราว ผลลัพธ์คือความรู้สึกแปลก ๆ เช่น ปลายประสาทเหมือนไฟฟ้าวิ่ง ผิวหนังด้าน หรือเหมือนถูกฉีดยาชา

ในนักกีฬา อาการเหล่านี้มักเกิดจาก 3 สาเหตุหลัก

  1. การกดทับเส้นประสาทระหว่างเคลื่อนไหว เมื่อกล้ามเนื้อหรือพังผืดตึงตัวมากเกินไป เช่น

  • บริเวณสะโพก → อาจกดทับ Sciatic nerve (Piriformis syndrome)
  • บริเวณไหล่และหน้าอก → อาจกดทับเส้นประสาทและเส้นเลือด (Thoracic Outlet Syndrome)
  • ข้อมือและข้อศอก → เส้นประสาทถูกเบียดจาก overuse (Carpal/Cubital tunnel syndrome)

มักพบในผู้ที่

  • จับอุปกรณ์หรือกริปแน่นนาน ๆ
  • หมุนตัวแรงซ้ำ ๆ
  • ใช้แขนหรือสะโพกมากเป็นพิเศษ

  2. หมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท การก้มหลัง ยกของหนัก หรือแรงกระแทกซ้ำ ๆ อาจทำให้หมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทไขสันหลัง เกิดเป็นภาวะที่เรียกว่า

  • Herniated disc (HNP) หมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท
  • Lumbar/Cervical radiculopathy ซึ่งมักทำให้มีอาการชาเป็นแนวลงแขนหรือขา
    มักพบในนักวิ่ง นักยกน้ำหนัก กีฬาที่มีแรงกระแทกสูง

  3. การไหลเวียนเลือดไม่ดีในบางช่วงการเคลื่อนไหว การค้างท่าหรือเกร็งท่าเดิมนานเกินไป เช่น

  • ปั่นจักรยานระยะไกล → ชาปลายมือจากแรงกดที่ข้อมือ
  • ใส่รองเท้าที่รัดเกินไป → ชาปลายเท้า
  • คุกเข่า/หมอบนพื้นแข็ง → เสี่ยงต่อเส้นประสาทที่หน้าเข่า
    แม้จะเป็นอาการที่ดูไม่รุนแรง แต่หากเกิดซ้ำบ่อย ๆ ก็อาจกลายเป็นปัญหาเรื้อรังได้เช่นกัน

สิ่งสำคัญที่อยากให้จำ อาการชาไม่ได้เกิดจาก “ออกกำลังกายหนักเกินไป” อย่างเดียว แต่เป็นสัญญาณจากเส้นประสาทที่กำลังถูกคุกคาม หากยังฝืนใช้งานต่อ อาจนำไปสู่

  • อาการอ่อนแรง
  • กล้ามเนื้อควบคุมไม่ได้
  • เสี่ยงหยุดเล่นกีฬาเป็นระยะเวลานาน

ดังนั้น การสังเกตและจัดการให้ถูกต้องตั้งแต่แรก คือหัวใจของการป้องกันการบาดเจ็บที่รุนแรงกว่า

สาเหตุหลักของอาการชาในนักกีฬา (แยกตามตำแหน่งทางกายวิภาค)

การรู้ตำแหน่งที่ชาจะแสดงให้เห็นทันทีว่าเส้นประสาทส่วนใดกำลังมีปัญหา และวิธีแก้ต้องไปแก้ที่ “ต้นเหตุ” ไม่ใช่แค่จุดที่ชา

แบ่งเป็น 4 โซนสำคัญดังนี้

  1. ชาบริเวณมือ นิ้ว และปลายแขน เส้นประสาทที่มักถูกรบกวน

  • Median nerve → Carpal Tunnel Syndrome
  • Ulnar nerve → Cubital Tunnel Syndrome

พบบ่อยในกีฬา

  • เทนนิส แบดมินตัน (จับกริปแน่น)
  • เวทเทรนนิ่ง (ดัมเบล/บาร์กดข้อมือ)

อาการสังเกต

  • ชาปลายนิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง
  • หรือชานิ้วนาง นิ้วก้อยเวลางอข้อศอกนาน

  2. ชาบริเวณไหล่ แขนด้านนอก หรือปลายมือเป็นแนวลงมา มักเกิดจากการกดทับรากประสาทหรือช่องทางเส้นประสาท

  • Thoracic Outlet Syndrome (TOS)
  • Cervical nerve root irritation

พบบ่อยใน

  • ว่ายน้ำ
  • CrossFit
  • กีฬาใช้แขนบ่อย เช่น วอลเลย์บอล โบว์ลิ่ง

สัญญาณเตือน

  • ชาเวลาเหยียดแขนเหนือศีรษะ
  • มือเย็น อ่อนแรงร่วมด้วย

  3. ชาบริเวณสะโพกร้าวลงขา เกี่ยวข้องกับการกดทับเส้นประสาทใหญ่ของร่างกาย

  • Sciatic nerve → Piriformis Syndrome
  • Lumbar Radiculopathy (HNP)

กีฬาเสี่ยง

  • วิ่ง
  • ฟุตบอล รักบี้
  • กีฬาที่ต้องหมุนสะโพกแรง

อาการสังเกต

  • ชาเป็นแนวจากสะโพกลงน่อง
  • เจ็บสะโพกตอนนั่งนานหรือสปรินต์

  4. ชาปลายเท้าหรือฝ่าเท้า มักเกิดจากเส้นประสาทถูกกดทับตรงข้อเท้า

  • Tarsal Tunnel Syndrome
  • Peroneal nerve irritation

พบบ่อยใน

  • วิ่งเทรล
  • กีฬาที่ต้องเปลี่ยนทิศทางเร็ว
  • ใส่รองเท้าคับหรือตึงเกินไป

สัญญาณสังเกตง่าย

  • ชาที่ฝ่าเท้าด้านในหรือหลังเท้า
  • รู้สึกเหมือนยืนบนก้อนกรวด

สรุปสำคัญ ตำแหน่งที่ชาบอกเส้นประสาทที่มีปัญหา และบอกแนวทางฟื้นฟูได้อย่างแม่นยำ ถ้าวินิจฉัยผิด → โอกาสเจ็บเรื้อรังสูงมาก

การประเมินโดยนักกายภาพจะช่วยให้

  • แยกความต่างของสาเหตุ
  • ตีโจทย์ให้ถูกว่าควรแก้ที่ไหน
  • ฟื้นฟูได้ตรงจุดและกลับไปเล่นเต็มที่เร็วขึ้น

อาการแบบไหนที่ต้องพบผู้เชี่ยวชาญทันที

      แม้อาการชาในนักกีฬาบางครั้งจะหายได้เองเมื่อพัก แต่มีสัญญาณเตือนบางอย่างที่บ่งบอกว่าเส้นประสาทกำลังถูกคุกคามอย่างจริงจัง หากปล่อยไว้อาจส่งผลต่อกล้ามเนื้อที่ควบคุมการเคลื่อนไหว และทำให้กลับไปเล่นกีฬาได้ยากขึ้น

หากมีอาการต่อไปนี้ ควรเข้ารับการประเมินทันที

  1. ชาเฉียบพลัน หรือรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
  2. อาการชาเป็นแนวลึกตลอดระยะทางของแขนหรือขา
  3. ร่วมกับอาการอ่อนแรง กล้ามเนื้อหดตัวไม่เต็มที่
  4. ควบคุมมือเท้าได้ไม่ดี เช่น หยิบของหล่น เดินแล้วสะดุด
  5. ชานานเกิน 2–4 สัปดาห์แม้พักและลดกิจกรรมแล้ว
  6. ชาร่วมกับอาการปวดแปลบ ช็อตไฟฟ้า ชัดขึ้นเวลาขยับ
  7. มีอาการลุกเดินแล้วเท้าไม่ยก หรือเท้าตก (Foot drop)
  8. มีการกลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระผิดปกติ (ภาวะฉุกเฉิน)

ถ้าอาการแสดงเข้าข่าย 2 ข้อขึ้นไป แสดงว่าเส้นประสาทอาจกำลังถูกกดทับอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องเข้าโปรแกรมฟื้นฟูอย่างถูกต้องโดยเร็วที่สุด

เพราะการรอเวลาหายเองแบบไม่ถูกวิธี อาจทำให้เส้นประสาทฟื้นตัวได้ยาก และเสี่ยงต้องหยุดเล่นกีฬานานกว่าที่ควร

การตัดสินใจเข้าพบผู้เชี่ยวชาญเร็วขึ้น คือการปกป้องอาชีพและเป้าหมายในสนามของคุณ

กายภาพบำบัดช่วยฟื้นฟูอย่างไรให้กลับไปเล่นได้เต็มที่

      เมื่ออาการชาเกิดจากเส้นประสาทถูกกดทับหรือทำงานผิดปกติ การรักษาต้องมากกว่าการพักหรือนวดทั่วไป เพราะต้นเหตุของปัญหาเกิดจากทั้งระบบการเคลื่อนไหว ซึ่งเกี่ยวข้องกับกล้ามเนื้อ ข้อต่อ และการควบคุมที่ไม่สมดุลของร่างกาย

กายภาพบำบัดจึงเป็นทางเลือกหลักที่ช่วยฟื้นฟูระบบประสาทและการเคลื่อนไหวไปพร้อมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การดูแลที่นักกายภาพบำบัดใช้ประกอบด้วย

  1. Manual Therapy ลดการกดทับของเส้นประสาท
เช่น

  • คลายกล้ามเนื้อเกร็งตัว
  • ปรับการเคลื่อนไหวของข้อต่อ
  • จัดแนวกระดูกสันหลังและสะโพกให้เป็นธรรมชาติ

ช่วยให้ช่องทางเส้นประสาทไม่ถูกบีบตัว และเลือดไหลเวียนดีขึ้น

  2. Nerve Mobilization กระตุ้นการนำสัญญาณประสาท
เป็นเทคนิคเฉพาะที่ช่วยให้เส้นประสาท

  • เคลื่อนไหวลื่นไหล
  • ลดอาการชาปลายประสาท
  • ฟื้นฟูการสื่อสารสมองสู่ร่างกาย

เหมาะกับภาวะ Carpal tunnel, TOS, Piriformis syndrome และ Radiculopathy

  3. Exercise Therapy เสริมความมั่นคงให้ระบบประสาท-กล้ามเนื้อ
เน้น

  • Core และ Hip stability
  • ควบคุมท่าทางและรูปแบบการเคลื่อนไหว
  • แรงและความทนทานของกล้ามเนื้อที่เคยอ่อนแรง

มีหลักฐานจากงานวิจัย BJSM และ JOSPT สนับสนุนว่า การออกกำลังกายเฉพาะทางคือหัวใจของการฟื้นตัวถาวร

  4. Load Management วางแผนปริมาณการฝึกให้เหมาะสม เพื่อป้องกันเส้นประสาทถูกกดทับซ้ำ
ปรับให้เหมาะกับชนิดกีฬาและตำแหน่งของนักกีฬาแต่ละคน

สรุปผลลัพธ์ที่นักกีฬาได้รับ

  • อาการชาดีขึ้นจากต้นเหตุ
  • การเคลื่อนไหวมั่นคงกว่าเดิม
  • กลับไปซ้อมและแข่งขันได้เต็มที่
  • โอกาสเจ็บซ้ำลดลงอย่างชัดเจน

เพราะการรักษาที่ดีไม่ใช่แค่ทำให้ “หายชา” แต่ต้องทำให้ “การทำงานของร่างกายกลับมาสมบูรณ์” เพื่อรองรับภาระของกีฬาได้อย่างมั่นใจ

อย่าปล่อยให้อาการชาขโมยศักยภาพในการเล่นกีฬาของคุณ

      ในสนามหรือในยิม ทุกเสี้ยววินาทีและทุกจังหวะในการเคลื่อนไหวคือความแตกต่างระหว่างความสำเร็จกับความผิดพลาด อาการชาที่ดูเหมือนเล็กน้อยอาจเป็นตัวการที่ค่อย ๆ ดึงศักยภาพของคุณออกทีละน้อย ทำให้แรงไม่เต็ม ความแม่นยำลดลง และความมั่นใจหายไป

อย่าปล่อยให้ร่างกายต้องตะโกนเตือน ทั้งที่จริงแล้วมันเริ่มบอกสัญญาณกับคุณมาตั้งแต่แรก

การเข้าพบผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินให้ตรงจุด
สามารถช่วยให้

  • เส้นประสาทกลับมาทำงานเป็นปกติ
  • กล้ามเนื้อควบคุมได้มั่นคงเหมือนเดิม
  • ฟื้นตัวอย่างปลอดภัยและกลับไปเล่นได้เต็มศักยภาพ

ที่ Move On Clinic เราเชื่อว่า นักกีฬาที่เก่งขึ้น คือคนที่รู้จักดูแลร่างกายอย่างถูกวิธี

      ถ้าคุณเริ่มมีอาการชาระหว่างเล่นกีฬา ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน อย่ารอให้มันลุกลามจนต้องหยุดเล่นกีฬา
ให้เราช่วยคุณแก้ปัญหาให้ตรงจุดตั้งแต่วันนี้

สอบถามและนัดหมายในการตรวจประเมินอาการชาในนักกีฬาได้ที่ Move On Clinic พร้อมฟื้นฟูคุณกลับสู่สนามอย่างมั่นใจ และปลอดภัยกว่าเดิม