เคยไหม…หลังออกกำลังกายเต็มที่ วันต่อมากล้ามเนื้อปวดตึงไปหมด เดินขึ้นบันไดแทบไม่ไหว แต่ก็ยังสงสัยว่า  “แบบนี้ปกติไหม หรือร่างกายเรากำลังบาดเจ็บ?”

      อาการ ปวดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย เป็นสิ่งที่คนเกือบทุกคนต้องเจอ โดยเฉพาะเมื่อเริ่มต้นโปรแกรมใหม่ ออกแรงมากกว่าปกติ หรือเพิ่มน้ำหนักในท่าเวท ซึ่งความปวดนี้ในทางกายภาพเรียกว่า DOMS (Delayed Onset Muscle Soreness) หรือ “อาการปวดกล้ามเนื้อจากการปรับตัวของร่างกาย”
แต่ในบางกรณี ความปวดที่เกิดขึ้นกลับไม่ใช่การปรับตัว มันคือ สัญญาณของการบาดเจ็บของเส้นใยกล้ามเนื้อ (Muscle Strain) ที่ถ้าฝืนออกกำลังกายต่อ อาจลุกลามเป็นอาการเรื้อรังได้

นักกายภาพบำบัดจึงมักพูดเสมอว่า “ไม่ใช่ทุกความปวดคือเรื่องดี…บางครั้งมันคือสัญญาณที่ร่างกายกำลังขอให้คุณหยุดพักและฟื้นฟูให้ถูกวิธี”

การแยกให้ออกว่า “ปวดแบบไหนคือ DOMS” และ “ปวดแบบไหนคือกล้ามเนื้อบาดเจ็บ” คือกุญแจสำคัญในการป้องกันอาการเรื้อรัง และช่วยให้คุณกลับไปออกกำลังกายได้อย่างมั่นใจ

      ที่ MoveOn Clinic เราเชื่อว่า “การปวดหลังออกกำลังกาย” ไม่ควรถูกละเลยหรือมองข้าม แต่ควรถูกเข้าใจและจัดการอย่างถูกหลักวิทยาศาสตร์ ด้วยการประเมิน ฟื้นฟู และเสริมความแข็งแรงแบบองค์รวม เพื่อให้คุณเคลื่อนไหวได้ดีกว่าเดิมโดยไม่ต้องกลัวความปวด

ปวดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย คืออะไร 

      อาการ ปวดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย ที่มักเกิดขึ้นในวันรุ่งขึ้น (หรือบางคน 2 วันถัดมา) เรียกว่า DOMS – Delayed Onset Muscle Soreness
เป็นอาการปวด–ตึงที่เกิดจาก “การปรับตัวของกล้ามเนื้อ” หลังจากได้รับแรงกระตุ้นหรือภาระงานมากกว่าที่ร่างกายเคยชิน

DOMS เกิดขึ้นได้อย่างไร?

มื่อเราออกกำลังกาย โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวที่มี Eccentric Contraction (การหดตัวของกล้ามเนื้อขณะยืดออก เช่น เวลาวิ่งลงเขา, ตอนลดน้ำหนักเวท, หรือท่า Squat ลงช้า ๆ)
      จะเกิด microtrauma หรือการฉีกขาดเล็ก ๆ ของเส้นใยกล้ามเนื้อ (muscle fibers) ซึ่งร่างกายจะตอบสนองด้วยการอักเสบเล็กน้อย เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซ่อมแซมและสร้างกล้ามเนื้อใหม่ให้แข็งแรงกว่าเดิม

ระหว่างนี้ เส้นประสาทรับความรู้สึกในกล้ามเนื้อจะไวขึ้น ทำให้เรารู้สึก “ปวด–ตึง–ขยับแล้วไม่สบายตัว”ในช่วง 12–72 ชั่วโมงหลังออกกำลังกาย

 อธิบายง่าย ๆ: DOMS ไม่ใช่การบาดเจ็บ แต่เป็น “สัญญาณของการปรับตัว” เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น

ลักษณะอาการของ DOMS

อาการ

รายละเอียด

ระยะเวลาเกิด

ปวดเริ่มใน 12–24 ชม. หลังออกกำลังกาย และชัดสุดที่ 48–72 ชม.

ตำแหน่งที่ปวด

กล้ามเนื้อมัดที่ใช้งาน เช่น ขา ต้นขา แขน หลัง

ลักษณะความรู้สึก

ปวด–ตึง–หน่วง โดยเฉพาะเวลาขยับหรือกด

ลักษณะอื่น

ไม่มีรอยช้ำ ไม่มีบวมแดง ไม่มีปวดแหลมเฉียบพลัน

ระยะเวลาหาย

ภายใน 3–5 วัน โดยไม่ต้องใช้ยา

ทำไมบางคนถึงปวดมาก บางคนไม่ปวดเลย?

ความรู้สึกปวดขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น

  • ระดับความฟิต: คนที่เริ่มออกกำลังกายใหม่จะปวดชัดเจนกว่า 
  • รูปแบบการฝึก: ท่าที่เน้นการยืดกล้ามเนื้อภายใต้แรง (eccentric) ทำให้ปวดมากกว่า 
  • สารสื่อประสาทและการอักเสบ: เมื่อร่างกายหลั่งสารอักเสบ (cytokines) มากขึ้น จะกระตุ้นปลายประสาทรับความเจ็บปวด 

      และที่สำคัญ — ไม่ใช่ทุกความปวดหลังออกกำลังกายจะเป็น DOMS เสมอไป!
บางครั้งหากอาการปวด เกิดขึ้นทันทีระหว่างออกกำลังกาย, ปวดแหลม, หรือมีอาการบวมร่วมด้วย อาจเป็น Muscle Strain (กล้ามเนื้อฉีกขาดบางส่วน) ซึ่งต่างจาก DOMS อย่างสิ้นเชิง

การดูแล DOMS อย่างถูกวิธี (จากมุมมองกายภาพบำบัด)

  • พักเชิงรุก (Active Recovery): เดินเบา ๆ ปั่นจักรยานช้า ๆ เพื่อให้เลือดไหลเวียน 
  • Sport Massage: คลายความตึงลึก กระตุ้นระบบน้ำเหลือง และเร่งการขจัดของเสียในกล้ามเนื้อ 
  • Focus Shockwave Therapy: ใช้คลื่นกระแทกพลังงานต่ำช่วยลดอาการตึงลึกและเร่งการฟื้นฟูเนื้อเยื่อ 
  • ยืดเบา ๆ (Gentle Stretching): เพิ่มการไหลเวียนและลด stiffness 
  • ดื่มน้ำและพักผ่อนเพียงพอ: เพื่อช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมได้เต็มที่ 

DOMS ไม่ใช่สิ่งที่ต้องกลัว แต่ควร “เข้าใจและจัดการให้ถูกวิธี”

      การปวดจาก DOMS ไม่ได้บอกว่าคุณออกกำลังกายผิด แต่อาจหมายถึงร่างกายกำลังเรียนรู้ที่จะ “แข็งแรงขึ้น”
สิ่งสำคัญคืออย่า “ฝืนซ้ำ” ขณะปวด เพราะจะทำให้เกิด overuse injury ได้ง่าย

หากปวดเกิน 3 วัน, ปวดรุนแรงขึ้น, หรือมีอาการบวม–ร้อน–ช้ำ นั่นอาจไม่ใช่ DOMS อีกต่อไป แต่เป็นสัญญาณของการบาดเจ็บที่ควรได้รับการประเมินโดยนักกายภาพบำบัด

ปวดแบบไหน “ปกติ” และสามารถออกกำลังกายต่อได้

ไม่ใช่ทุกความปวดที่ต้องหยุดออกกำลังกาย เพราะอาการปวดบางแบบเป็น “สัญญาณดี” ที่แสดงว่ากล้ามเนื้อของคุณกำลังปรับตัวให้แข็งแรงขึ้นหลังการฝึก

ลักษณะของอาการปวดแบบ “ดี” (Functional Soreness)

อาการปวดลักษณะนี้เกิดจาก DOMS (Delayed Onset Muscle Soreness) ซึ่งถือเป็นการตอบสนองทางธรรมชาติของกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย โดยมีลักษณะเฉพาะคือ:

  • ✅ ปวดตึงเฉพาะมัดกล้ามเนื้อที่ใช้งาน (เช่น เล่นขา → ปวดต้นขา / วิ่ง → ปวดน่อง) 
  • ✅ ปวดแบบหน่วง ๆ ไม่แหลม ไม่จี๊ด 
  • ✅ ไม่บวม ไม่แดง ไม่ร้อน 
  • ✅ ปวดมากสุดในวันที่ 2–3 แล้วค่อย ๆ ดีขึ้น 
  • ✅ ยังสามารถขยับหรือใช้งานได้ แม้จะรู้สึกตึง ๆ 

ถ้าอาการปวดของคุณอยู่ในกลุ่มนี้ แสดงว่าร่างกายกำลังซ่อมแซมเส้นใยกล้ามเนื้อเพื่อให้แข็งแรงกว่าเดิม

สามารถ “ออกกำลังกายต่อ” ได้ แต่ควรปรับวิธี

การออกกำลังกายขณะมีอาการปวดจาก DOMS สามารถทำได้ แต่ควรอยู่ในรูปแบบ Active Recovery หรือ การเคลื่อนไหวเบา ๆ เพื่อกระตุ้นการฟื้นฟู

วิธีที่แนะนำโดยนักกายภาพบำบัด:

  1. ลดความหนักของการฝึก (Reduce Intensity) 
    • ลดน้ำหนักเวทลง 40–50% หรือเปลี่ยนจากฝึกกล้ามเนื้อเดิมไปฝึกมัดอื่นแทน 
    • เช่น หากปวดต้นขาหลัง (Hamstring) ให้เปลี่ยนไปเล่นแขนหรือแกนกลางลำตัว 
  2. Active Recovery 15–30 นาที 
    • เดินเร็ว ปั่นจักรยานเบา ๆ หรือว่ายน้ำ → เพิ่มการไหลเวียนเลือด 
    • ช่วยขนของเสียออกจากกล้ามเนื้อและนำสารอาหารเข้าสู่จุดซ่อมแซม 
  3. Sport Massage หรือ Foam Rolling 
    • ช่วยคลายพังผืด (fascia) และลดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ 
    • เพิ่มออกซิเจนในเนื้อเยื่อ ทำให้หายปวดเร็วขึ้น 
  4. Focus Shockwave Therapy (สำหรับนักออกกำลังกายระดับกลาง–สูง) 
    • กระตุ้นการไหลเวียนเลือดลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อ 
    • ลดอาการตึงเฉพาะจุดที่เกิดซ้ำจากการฝึกหนัก เช่น น่อง, สะโพก, Quadriceps 
  5. Hydration & Nutrition 
    • ดื่มน้ำให้เพียงพอ และรับโปรตีนหลังการฝึก เพื่อช่วยซ่อมแซมเส้นใยกล้ามเนื้อ 

ข้อควรระวังในการออกกำลังกายขณะมี DOMS

  • หลีกเลี่ยงการฝึกซ้ำมัดเดิมต่อเนื่องเกิน 3 วัน เพราะอาจกลายเป็นการ “ใช้งานเกิน (Overuse)” 
  • อย่าฝืนฝึกถ้าเริ่มมีอาการปวดแหลม หรือปวดบริเวณข้อต่อ 
  • ควรเพิ่ม เวลาพัก (Rest Day) 1–2 วัน เพื่อให้กล้ามเนื้อซ่อมแซมสมบูรณ์ 

ตัวอย่างอาการปวด “แบบดี” ที่นักกายภาพบำบัดมักเห็น

อาการ

ลักษณะ

การแนะนำ

ปวดต้นขาหลังหลังวิ่ง

ปวดตึงเมื่อเหยียดขา / เดินลงบันได

Active Recovery + ยืดเบา ๆ + Sport Massage

ปวดไหล่หลังฝึกเวท

ปวดเฉพาะมัด deltoid ด้านหน้า ไม่มีช้ำ

พัก 1 วัน + โฟมโรล + ยืดเบา ๆ

ปวดน่องหลังวิ่งเทรล

ปวดหน่วงตอนก้าวเดิน

เดินเบา ๆ / Focus Shockwave ถ้าตึงลึกหลายวัน

สรุปปวดแบบไหน “ปกติ”

สัญญาณ

ความหมาย

ปวดหน่วง–ตึง

กล้ามเนื้อกำลังซ่อมแซมตัวเอง

ปวดเฉพาะมัดที่ใช้งาน

ร่างกายตอบสนองต่อการฝึก

ไม่มีบวม แดง หรือร้อน

ไม่มีการอักเสบที่อันตราย

หายภายใน 3–5 วัน

การฟื้นฟูเป็นไปตามธรรมชาติ

ถ้าคุณรู้สึกปวดแบบนี้ ถือว่า “ร่างกายกำลังแข็งแรงขึ้น” เพียงดูแลอย่างถูกวิธี คุณสามารถกลับไปออกกำลังกายได้อย่างปลอดภัย

ปวดแบบไหน ‘ไม่ปกติ’ และควรหยุดออกกำลังกายทันที

      แม้การปวดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกายจะเป็นเรื่องปกติในบางกรณีแต่หาก “ความปวด” นั้นไม่ใช่แบบที่ร่างกายสามารถฟื้นฟูได้เอง หรือเริ่มรบกวนการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนว่า คุณกำลังเข้าสู่ภาวะ “กล้ามเนื้อบาดเจ็บ (Muscle Strain)” หรือ “การอักเสบของเนื้อเยื่อ” ซึ่งจำเป็นต้องหยุดพักและเข้ารับการประเมินทันที

ลักษณะอาการปวด “ไม่ปกติ” ที่ไม่ควรฝืน

ลักษณะอาการ

คำอธิบาย

ความเสี่ยง

ปวดแหลมเฉียบพลันระหว่างออกกำลังกาย

มักเกิดจากกล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็นฉีกขาดบางส่วน

เสี่ยง Muscle Strain Grade 1–2

บวม แดง ร้อน บริเวณที่ปวด

เกิดจากการอักเสบของเนื้อเยื่อหรือเส้นเอ็น

Tendinitis / Myositis

ปวดร้าวจากจุดหนึ่งไปอีกจุด

มักมีการกดทับหรือดึงรั้งเส้นประสาท

เช่น Piriformis Syndrome, Nerve Irritation

ปวดต่อเนื่องนานเกิน 3–5 วัน

แสดงว่าร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมได้เอง

เสี่ยงกลายเป็นอาการเรื้อรัง

ปวดในบริเวณข้อต่อ (เช่น เข่า สะโพก ข้อเท้า)

บ่งบอกการอักเสบของข้อต่อหรือเอ็นรอบข้อต่อ

เช่น Runner’s Knee, IT Band Syndrome

ความแตกต่างระหว่าง DOMS กับ Muscle Strain

จุดเปรียบเทียบ

DOMS

Muscle Strain

ลักษณะการปวด

ปวดหน่วง–ตึงหลังออกกำลังกาย 1–2 วัน

ปวดเฉียบพลันระหว่างออกแรง

ตำแหน่ง

ปวดกระจายเป็นมัดกล้ามเนื้อ

ปวดเฉพาะจุดที่มีการฉีกขาด

อาการร่วม

ไม่มีบวม ไม่มีช้ำ

บวม แดง ช้ำ หรือรู้สึกดีดในจังหวะออกแรง

ระยะเวลาหาย

ภายใน 3–5 วัน

อาจใช้เวลา 1–3 สัปดาห์ หรือมากกว่า

แนวทางจัดการ

พักเชิงรุก, ยืดเบา ๆ, Sport Massage

หยุดใช้งาน, ประคบเย็น, เข้ารับกายภาพบำบัด

อาการที่ควร “รีบพบกายภาพบำบัด” โดยไม่ควรรอ

  1. ปวดจนทำกิจกรรมประจำวันไม่ได้ เช่น เดิน ขึ้นบันได หรือก้มตัว 
  2. ปวดร้าวจากสะโพกลงขา หรือจากไหล่ลงแขน 
  3. ปวดซ้ำบริเวณเดิมทุกครั้งที่ออกกำลังกาย 
  4. ปวดมากขึ้นแม้ไม่ได้ออกแรง 
  5. ปวดร่วมกับอาการชา หรืออ่อนแรง 

การฝืนออกกำลังกายต่อในช่วงที่ร่างกายมี “กล้ามเนื้อบาดเจ็บ” จะทำให้เส้นใยฉีกมากขึ้น, ฟื้นตัวช้า, และอาจเกิดพังผืด (fibrosis) ที่จำกัดการเคลื่อนไหวในอนาคต

แนวทางการดูแลเบื้องต้นเมื่อสงสัยว่าปวด “ไม่ปกติ”

  • หยุดออกกำลังกายทันที เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อได้รับแรงกระแทกซ้ำ 
  • ประคบเย็น (Cold Therapy): ภายใน 24–48 ชั่วโมงแรก เพื่อลดการอักเสบและบวม 
  • ยกสูงและพัก (Rest & Elevation): เพื่อลดการคั่งของเลือดในบริเวณบาดเจ็บ 
  • เข้ารับการประเมินโดยนักกายภาพบำบัด: 
    • เพื่อแยกแยะว่าเป็น DOMS หรือ Strain 
    • วางแผนฟื้นฟูด้วยเทคนิคที่เหมาะ เช่น 
      • Sport Massage: คลายจุดเกร็งและช่วยกระตุ้นการซ่อมแซม
      • Ultrasound Therapy : เร่งการอักเสบ ลดอาการปวด 
      • Focus Shockwave Therapy: ช่วยลดอาการอักเสบและกระตุ้นเนื้อเยื่อให้หายเร็วขึ้น 

      อาการปวดไม่ปกติไม่ได้แปลว่าคุณออกกำลังกายผิดเสมอไป แต่คือ “สัญญาณเตือนจากร่างกาย” ว่าควรพัก ฟื้นฟู และปรับวิธีใช้งานให้เหมาะสม หากคุณปวดแบบแปลบ บวม หรือปวดเกิน 3 วัน อย่ารอจนกล้ามเนื้อบาดเจ็บเรื้อรัง นัดประเมินกับนักกายภาพบำบัดที่ MoveOn Clinic เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและวางแผนฟื้นฟูเฉพาะคุณ

แนวทางกายภาพบำบัดเมื่อปวดกล้ามเนื้อจากการออกกำลังกาย

      อาการปวดกล้ามเนื้อจากการออกกำลังกายไม่ว่าจะเกิดจาก DOMS (Delayed Onset Muscle Soreness) หรือ Muscle Strain (กล้ามเนื้อฉีกบางส่วน) ต่างก็ต้องอาศัยการฟื้นฟูที่เหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นอาการเรื้อรังการรักษาด้วยหลัก กายภาพบำบัด (Physical Therapy) จึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัย ได้ผล และสามารถปรับให้ตรงกับร่างกายของแต่ละคน

ขั้นตอนแรก: การประเมินร่างกาย (Physical Assessment)

ก่อนเริ่มการรักษา นักกายภาพบำบัดจะประเมินอย่างละเอียดเพื่อหาต้นตอของปัญหาโดยดูทั้ง ตำแหน่ง ความรุนแรง และกลไกการบาดเจ็บ เช่น

  • ตรวจการเคลื่อนไหว (Range of Motion): ข้อต่อเคลื่อนไหวครบหรือไม่ 
  • ตรวจความแข็งแรง (Muscle Strength Test): กล้ามเนื้อที่ใช้งานหนักเกิน–อ่อนแรงเกิน 
  • ตรวจจุดกดเจ็บ (Palpation): เพื่อแยก DOMS ออกจาก Strain
  • ตรวจเฉพาะ (Special test): เพื่อยืนยันอาการปัญหาที่เป็น 
  • Movement Analysis: วิเคราะห์ท่าทางขณะวิ่ง, ยกเวท, หรือทำกิจกรรม 

ขั้นตอนที่สอง: การรักษาเพื่อลดอาการปวดและคลายกล้ามเนื้อ

หลังประเมินแล้ว นักกายภาพจะเลือกเทคนิคการบำบัดที่เหมาะกับอาการและเป้าหมายของผู้ป่วย เช่น

1. Sport Massage (นวดนักกีฬา)

  • ช่วยคลายพังผืด (fascia) และจุดเกร็ง (Trigger Point) 
  • เพิ่มการไหลเวียนโลหิตและออกซิเจนในกล้ามเนื้อ 
  • ลดความตึงลึก และกระตุ้นการขจัดของเสีย (Metabolic Waste) 
  • เหมาะกับผู้ที่มีอาการปวดแบบ DOMS หรือกล้ามเนื้อตึงเรื้อรังจากการใช้งานหนัก 

2. Focus Shockwave Therapy/ Ultrasound Therapy

  • ใช้คลื่นพลังงานกลเจาะลึกไปถึงจุดบาดเจ็บทั้งชั้นตื้นและลึก 
  • กระตุ้นกระบวนการซ่อมแซม (Tissue Regeneration) และลดการอักเสบเรื้อรัง 
  • เหมาะกับผู้ที่มีอาการกล้ามเนื้ออักเสบหรือเจ็บสะสม เช่น 
    • น่องตึงจากการวิ่ง 
    • กล้ามเนื้อขาหลังอักเสบ 
    • เอ็นสะโพก (Gluteal Tendinopathy) 
    • เจ็บเข่าด้านนอกจาก IT Band Syndrome 

3. Therapeutic Exercise (การออกกำลังกายบำบัด)

  • นักกายภาพจะออกแบบท่าฝึกเฉพาะ เพื่อฟื้นฟูความแข็งแรงและยืดหยุ่น 
  • เริ่มจาก Phase 1: ยืดกล้ามเนื้อ–ฟื้นช่วงการเคลื่อนไหว 
  • ต่อด้วย Phase 2: เสริมแรงและปรับสมดุลกล้ามเนื้อ (Re-Strengthening) 
  • ปิดท้าย Phase 3: ฝึกการเคลื่อนไหวเฉพาะกิจกรรม เช่น วิ่ง กระโดด ยกน้ำหนัก 

เป้าหมายไม่ใช่แค่ “หายปวด” แต่คือ “กลับไปออกกำลังกายได้อย่างปลอดภัยและมั่นใจ”

ขั้นตอนที่สาม: การให้คำแนะนำและป้องกันซ้ำ (Preventive Education)

นักกายภาพจะให้คำแนะนำในการจัดโปรแกรมออกกำลังกายและการใช้ชีวิต เช่น

  • การวอร์มอัพและคูลดาวน์ที่เหมาะสม 
  • เทคนิคการยืดกล้ามเนื้อแบบ Dynamic & Static Stretching 
  • การบริหารเพื่อป้องกันกล้ามเนื้ออ่อนแรง เช่น กล้ามเนื้อสะโพก–แกนกลาง 
  • การจัดตารางพัก (Recovery Schedule): เพื่อหลีกเลี่ยงการ overtraining 

ที่ MoveOn Clinic การฟื้นฟูไม่จบแค่หายเจ็บ แต่รวมถึงการ “ป้องกันการเจ็บซ้ำ” ด้วย

 ตัวอย่างโปรแกรมฟื้นฟูในคลินิก MoveOn

ประเภทอาการ

แนวทางฟื้นฟูที่ใช้

ระยะเวลาโดยประมาณ

ปวดจาก DOMS

Sport Massage + Recovery Stretching

1–2 ครั้ง

กล้ามเนื้ออักเสบ (Strain Grade 1–2)

Shockwave + Exercise Rehab

3–5 ครั้ง

ปวดสะโพก / เข่าจากการใช้งานซ้ำ

Movement Correction + Strengthening

4–6 ครั้ง

อาการเรื้อรัง / กลับมาเจ็บซ้ำ

โปรแกรม Physio Performance (เฉพาะบุคคล)

6–8 สัปดาห์

จุดแข็งของการรักษาแนวกายภาพบำบัด

  • ฟื้นฟูตรงจุดตามหลัก Anatomy & Biomechanics 
  • ปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียงจากยา 
  • เหมาะกับทั้งนักกีฬามืออาชีพและคนออกกำลังกายทั่วไป 
  • ช่วยให้กลับมาใช้ร่างกายได้เต็มสมรรถภาพโดยไม่เจ็บซ้ำ 

 MoveOn Clinic
“เราไม่เพียงรักษาอาการปวด แต่ช่วยให้คุณเข้าใจร่างกายของตัวเอง และกลับไปออกกำลังกายอย่างมั่นใจ”

วิธีป้องกันอาการปวดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย

      อาการปวดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย (DOMS) เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก โดยเฉพาะในช่วงที่เริ่มฝึกใหม่หรือเพิ่มความเข้มข้นของการออกกำลังกาย แต่สามารถ “ลดความรุนแรง” และ “ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น” ได้ หากเข้าใจหลักการดูแลร่างกายอย่างถูกวิธี

การป้องกันอาการปวดไม่ใช่การหลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย แต่คือการเตรียมร่างกายให้พร้อม “รับแรง” และ “ซ่อมแซม” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1. วอร์มอัพก่อนออกกำลังกาย (Warm-up) อย่างถูกวิธี

ก่อนเริ่มการฝึก ควรให้ร่างกายมีการไหลเวียนเลือดและอุณหภูมิเพิ่มขึ้น
เพื่อให้เส้นใยกล้ามเนื้อและข้อต่อพร้อมรับแรง

เทคนิคที่แนะนำ:

  • ใช้เวลา 5–10 นาที ทำ Dynamic Stretching หรือ การเคลื่อนไหวที่เลียนแบบท่าหลักของการฝึก 
    • เช่น ก่อนวิ่ง → ทำ Leg Swing, Butt Kick, High Knees 
    • ก่อนเล่นเวท → ใช้ท่าน้ำหนักเบาหรือ Resistance Band กระตุ้นมัดกล้ามเนื้อ 
  • หลีกเลี่ยงการ “ยืดค้าง (Static Stretching)” ก่อนออกกำลังกาย เพราะอาจลดแรงหดตัวของกล้ามเนื้อชั่วคราว

งานวิจัยจาก Journal of Sports Science พบว่า Dynamic Warm-up สามารถลดความเสี่ยง DOMS ได้ถึง 30–40% เมื่อเทียบกับการไม่วอร์มอัพเลย

2. เพิ่มความหนักของการฝึกอย่างค่อยเป็นค่อยไป (Progressive Overload)

หลายคนปวดหนักเพราะ “เพิ่มน้ำหนักหรือความเข้มข้นเร็วเกินไป” กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นต้องการเวลาในการปรับตัว

คำแนะนำจากนักกายภาพ:

  • เพิ่มน้ำหนักหรือจำนวนครั้ง ไม่เกิน 10% ต่อสัปดาห์ 
  • เว้นวันพัก (Rest Day) ระหว่างกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น วันขา → พัก 48 ชม. ก่อนเล่นซ้ำ 
  • สังเกตอาการหลังฝึก: ถ้าปวดมากกว่า 3 วัน = ออกแรงเกินขีดจำกัด 

3. ยืดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย (Cool Down & Stretching)

หลังการฝึก คือช่วงเวลาที่กล้ามเนื้อมีการหดตัวและพังผืดเริ่มรัดแน่น การ ยืดแบบ Static Stretching จะช่วยคืนความยืดหยุ่นให้เส้นใยกล้ามเนื้อ

ตัวอย่างท่ายืดแนะนำโดยนักกายภาพ MoveOn Clinic:

  • Hamstring Stretch – ลดตึงต้นขาหลัง 
  • Standing Quad Stretch – คลายต้นขาหน้า 
  • Calf Stretch – ลดตึงน่องและเอ็นร้อยหวาย 
  • Figure-4 Stretch – คลายสะโพกและ Glute
    ค้างแต่ละท่า 20–30 วินาที / ทำซ้ำ 3-5 รอบ ยืดแล้วต้อง “ตึงแต่ไม่เจ็บ” เท่านั้น

4. ดูแลการพักผ่อนและโภชนาการ (Recovery & Nutrition)

ร่างกายจะซ่อมแซมเส้นใยกล้ามเนื้อในช่วงพัก หากพักไม่พอ หรือรับสารอาหารไม่เพียงพอ จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการอักเสบและการฉีกขาด

แนวทางดูแล:

  • นอนหลับอย่างน้อย 7–8 ชั่วโมงต่อวัน 
  • รับประทานโปรตีนให้เพียงพอ (1.2–1.8 กรัม/นน.ตัว 1 กก.) 
  • ดื่มน้ำ 2–3 ลิตรต่อวัน เพื่อช่วยขจัดของเสียที่ค้างในกล้ามเนื้อ 
  • เพิ่มการรับประทานอาหารที่มีสารต้านอักเสบ เช่น ปลาแซลมอน, ขมิ้น, ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ 

5. ฟื้นฟูเชิงรุก (Active Recovery)

ในวันที่ไม่ฝึกหนัก ควรให้ร่างกายเคลื่อนไหวเบา ๆ เพื่อกระตุ้นระบบไหลเวียนการพักที่ดีไม่ใช่ “ไม่ทำอะไรเลย” แต่คือ “พักแบบเคลื่อนไหว”

ตัวอย่างกิจกรรม:

  • เดินเร็ว 20–30 นาที 
  • ปั่นจักรยานเบา ๆ 
  • ว่ายน้ำ 
  • หรือเข้ารับบริการ Sport Massage / Shockwave Recovery Session ที่ MoveOn Clinic เพื่อเร่งกระบวนการซ่อมแซมกล้ามเนื้อ 

การนวดคลายและ Shockwave ที่ถูกจังหวะสามารถลดระยะฟื้นตัวของกล้ามเนื้อได้ 20–40% จากข้อมูลใน Journal of Athletic Training (2021)

สังเกตร่างกาย และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเมื่อจำเป็น

ความปวดบางอย่างคือการฟื้นตัว แต่ถ้าปวดเกิน 3 วัน ปวดแหลม หรือรู้สึกว่ากำลัง “แย่ลงแทนที่จะดีขึ้น”อย่าฝืนฝึกต่อ

      ปรึกษานักกายภาพบำบัดเพื่อประเมินสภาพกล้ามเนื้อและรูปแบบการฝึกที่ MoveOn Clinic เรามีโปรแกรม Physio for Active Lifestyle ที่ช่วยให้คุณออกกำลังกายได้อย่างปลอดภัย ฟื้นตัวไว และลดโอกาสบาดเจ็บในระยะยาว

การป้องกันอาการปวดกล้ามเนื้อไม่ใช่เรื่องของ “โชค” แต่คือ “ระบบ” หากคุณอบอุ่นร่างกายดี ฝึกอย่างมีแผน ฟื้นฟูเหมาะสม และรู้จักพัก คุณจะสามารถพัฒนาร่างกายต่อเนื่องโดยไม่ต้องหยุดเพราะอาการเจ็บ

เมื่อไหร่ควรพบกายภาพบำบัด

      หลายคนเข้าใจว่าอาการ “ปวดกล้ามเนื้อ” หลังออกกำลังกายเป็นเรื่องเล็กน้อย และจะหายไปเอง แต่ในความเป็นจริง ไม่ใช่ทุกอาการปวดจะจบด้วยการพักเฉย ๆ บางครั้งร่างกายกำลังส่ง “สัญญาณเตือน” ว่าคุณอาจมีการบาดเจ็บแฝง หรือการใช้งานที่ผิดซ้ำ ๆ ซึ่งหากไม่รีบแก้ไขตั้งแต่ต้น อาจกลายเป็นอาการเรื้อรังที่ฟื้นฟูยากขึ้น

สัญญาณที่ควร “รีบพบ” นักกายภาพบำบัด

1. ปวดเกิน 3 วันโดยไม่ดีขึ้น

    • DOMS ปกติจะดีขึ้นภายใน 2–3 วัน 
    • หากปวดยืดเยื้อ นาน 4–7 วันขึ้นไป หรือรู้สึกตึงจนเคลื่อนไหวไม่ได้ตามปกติ แสดงว่ามีการอักเสบลึกหรือกล้ามเนื้อฉีกบางส่วน 

2. ปวดเฉพาะจุดแบบแปลบหรือปวดลึก

    • เช่น ปวดต้นขาด้านหลัง (Hamstring), เอ็นร้อยหวาย, หรือสะโพก 
    • ลักษณะปวดแปลบ มักเกี่ยวข้องกับ Muscle Strain, Tendinopathy หรือ Trigger Point 

3. ปวดร้าวตามแนวเส้นประสาท หรือมีอาการชาร่วม

    • เช่น ปวดร้าวจากสะโพกลงขา หรือจากต้นแขนลงปลายมือ 
    • อาจมีการกดทับของเส้นประสาทร่วม เช่น Piriformis Syndrome, Sciatica 

4. กล้ามเนื้อฝั่งหนึ่งอ่อนแรงหรือใช้งานไม่เท่ากัน

    • รู้สึกว่าวิ่ง / ยกน้ำหนัก / เคลื่อนไหวไม่สมดุล 
    • เป็นสัญญาณของกล้ามเนื้อ “ชดเชย” ซึ่งถ้าไม่แก้ไข จะนำไปสู่อาการปวดเรื้อรังในอนาคต 

5. มีอาการบวม แดง ร้อน หรือเจ็บมากขึ้นเรื่อย ๆ

    • เป็นอาการอักเสบของเนื้อเยื่อ (Inflammation) ที่ต้องใช้วิธีการลดอักเสบเฉพาะทาง เช่น Shockwave หรือ Ultrasound Therapy 

6. ปวดซ้ำบริเวณเดิมทุกครั้งที่ออกกำลังกาย

    • เช่น ปวดน่องข้างเดิมทุกครั้งหลังวิ่ง หรือเจ็บเข่าซ้ำในท่า Squat 
    • สะท้อนถึง “ปัญหาทางกลไก” ของการเคลื่อนไหว (Movement Dysfunction) ที่ต้องได้รับการวิเคราะห์โดยนักกายภาพ 

ทำไม “กายภาพบำบัด” ถึงสำคัญในจุดนี้

เพราะการประเมินโดยนักกายภาพไม่ใช่แค่ “รักษาอาการปวด” แต่คือการ หาสาเหตุรากของปัญหา
เช่น

  • กล้ามเนื้อไม่สมดุล (Muscle Imbalance)
  • ควมสามารถในการเคลื่อนไหวน้อย (Joint Hypomobility) 
  • ข้อติด (Joint Stiffness) 
  • การลงน้ำหนักผิด (Malalignment) 
  • หรือการฝึกซ้ำในท่าที่เสี่ยง (Repititive Overuse) 

      ซึ่งเป็นสิ่งที่การพักเฉย ๆ หรือนวดทั่วไปไม่สามารถแก้ได้ “กายภาพบำบัด” คือการฟื้นฟูที่มีเป้าหมายให้คุณ กลับมาออกกำลังกายได้อย่างปลอดภัย โดยไม่กลับมาเจ็บซ้ำ

บริการฟื้นฟูที่ MoveOn Clinic เหมาะกับใครบ้าง

  • นักออกกำลังกายที่ปวดกล้ามเนื้อซ้ำเดิมเรื้อรัง 
  • คนที่เพิ่งเริ่มฟิตใหม่แล้วปวดทั่วตัวจนไม่กล้าออกกำลังกายต่อ 
  • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูเฉพาะมัด เช่น ขาหลัง (Hamstring), สะโพก, เข่า, หลังล่าง 
  • นักวิ่ง / นักฟิตเนส / นักกอล์ฟ ที่ต้องการ Sport Recovery Program 

      MoveOn Clinic มีทีม นักกายภาพบำบัดเฉพาะทางการกีฬา ที่ช่วยออกแบบการฟื้นฟูตามหลัก Biomechanics และ Functional Recovery
โดยใช้เทคโนโลยี เช่น

  • Focus Shockwave Therapy → ลดการอักเสบเรื้อรัง ลงลึกตรงจุด 
  • Sport Massage & Recovery Stretching → เพิ่มการไหลเวียนและคลายพังผืด 
  • Exercise Prescription → โปรแกรมฝึกเฉพาะบุคคล เพื่อเสริมแรงและป้องกันเจ็บซ้ำ 

อย่ารอให้ “ความปวดเล็ก ๆ” กลายเป็นอาการเรื้อรัง การปรึกษานักกายภาพบำบัดตั้งแต่เริ่มเจ็บเล็กน้อย
      ช่วยให้คุณกลับมาออกกำลังกายได้เร็วขึ้น ปลอดภัยขึ้น และยั่งยืนกว่า

หากคุณเริ่มรู้สึกว่า “ปวดนี้ไม่ปกติ” มาหาเราที่ MoveOn Clinic ให้ทีมกายภาพของเราช่วยวิเคราะห์ ฟื้นฟู และพาคุณกลับไปออกกำลังกายอย่างมั่นใจอีกครั้ง

      อาการ “ปวดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย” เป็นสิ่งที่นักออกกำลังกายทุกคนต้องเจอ แต่สิ่งสำคัญคือ — ต้อง “แยกให้ออก” ว่าปวดแบบไหนคือสัญญาณของการฟื้นตัว (DOMS) และปวดแบบไหนคือสัญญาณเตือนของการบาดเจ็บ (Muscle Strain หรือ Overuse Injury) หากคุณเข้าใจร่างกายของตัวเองมากพอ จะรู้ว่าความปวดไม่ใช่ศัตรู แต่คือ “ภาษาที่ร่างกายกำลังบอกให้เราดูแลให้ถูกทาง”

MoveOn Clinic เชื่อว่า “การออกกำลังกายอย่างยั่งยืน” ต้องเริ่มจากร่างกายที่ฟื้นตัวได้ดีไม่ใช่แค่หายปวด แต่กลับมาแข็งแรงและมั่นใจยิ่งกว่าเดิม