ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬามืออาชีพหรือนักออกกำลังกายสมัครเล่น “อาการบาดเจ็บ” คือสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงได้ยากในเส้นทางการพัฒนาร่างกาย แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ “เราจะรับมืออย่างไร” เพื่อให้หายเร็ว ปลอดภัย และกลับมาเล่นกีฬาได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง

      หลายคนเมื่อบาดเจ็บมักเลือก “พักเฉย ๆ” หรือยืดคลายเองตามคำบอกเล่า ซึ่งอาจช่วยลดปวดชั่วคราว แต่ไม่ได้แก้สาเหตุที่แท้จริง ผลลัพธ์คือเจ็บซ้ำ เจ็บเรื้อรัง หรือกล้ามเนื้อทำงานไม่สมดุล ดังนั้นแนวทางที่ถูกต้องต้องอาศัยทั้ง ความเข้าใจทางกายวิภาคศาสตร์ (Anatomy), หลักการฟื้นฟูทางกายภาพบำบัด (Rehabilitation Science) และ เทคนิคทางวิทยาศาสตร์การกีฬา (Sports Medicine) เข้าด้วยกัน

แนวทางที่นักกายภาพบำบัดใช้จะแบ่งเป็น 3 ระยะหลัก ได้แก่
      ระยะรับมือทันทีหลังบาดเจ็บ (Acute Response) — ประเมินอาการเบื้องต้นและใช้หลักการ POLICE (Protection, Optimal Loading, Ice, Compression, Elevation) เพื่อลดอาการอักเสบและป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ
      ระยะฟื้นฟูสมรรถภาพ (Rehabilitation Phase) — เริ่มจากการควบคุมอาการปวด, ฟื้นฟูการเคลื่อนไหว (ROM), เสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และฝึกควบคุมการเคลื่อนไหว (Motor Control)
      ระยะกลับเข้าสู่กีฬา (Return to Sport Phase) — ปรับการฝึกให้ใกล้เคียงสภาพจริงของกีฬา เน้นการทดสอบ Functional Performance เพื่อให้มั่นใจว่าร่างกายพร้อมเต็มร้อยก่อนกลับไปสนามจริง

ในช่วงฟื้นฟูนั้น นักกายภาพจะเลือกใช้เทคนิคการรักษาที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ เช่น

  • Shockwave Therapy (ESWT) ที่ช่วยกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมของร่างกาย เพิ่มการไหลเวียนเลือด และลดอาการปวดเรื้อรัง โดยเฉพาะในภาวะ tendinopathy, plantar fasciopathy หรือ bone stress injury ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากงานวิจัยล่าสุดใน British Journal of Sports Medicine, 2025 
  • Therapeutic Exercise ออกกำลังกายเพื่อรักษา เพื่อปรับสมดุลของกล้ามเนื้อและเพิ่มความทนทานต่อแรงซ้ำ 
  • Manual Therapy และ Neuromuscular Re-education เพื่อฟื้นการทำงานของข้อต่อและระบบประสาทกล้ามเนื้อให้กลับมาทำงานร่วมกันได้ดี 

      เป้าหมายสูงสุดของการฟื้นฟูไม่ใช่แค่ “หายปวด” แต่คือการ กลับมาแข็งแรงกว่าเดิม (Stronger than Before) การดูแลอย่างถูกวิธีตั้งแต่ต้นจนจบ จะช่วยให้นักกีฬาลดโอกาสการเจ็บซ้ำ และสร้างสมรรถภาพที่ยั่งยืนในระยะยาว

การบาดเจ็บไม่ใช่จุดจบของเส้นทางกีฬา หากเข้าใจและรับมืออย่างถูกวิทยาศาสตร์ ภายใต้การดูแลของนักกายภาพบำบัดที่มีประสบการณ์ — คุณจะ “กลับมาแข็งแรงกว่าเดิมได้เสมอ”

เข้าใจธรรมชาติของ “อาการบาดเจ็บในนักกีฬา” ก่อนรักษา

      การบาดเจ็บในนักกีฬาไม่ได้เกิดขึ้นเพราะ “โชคร้าย” อย่างเดียว แต่ส่วนใหญ่เกิดจาก ความไม่สมดุลของร่างกาย (Muscle Imbalance), การใช้งานซ้ำเกินไป (Overuse) หรือ เทคนิคการเคลื่อนไหวที่ผิด (Faulty Movement Pattern) การเข้าใจธรรมชาติของอาการบาดเจ็บจึงเป็น “ก้าวแรก” ของการฟื้นฟูที่ยั่งยืน เพราะถ้าไม่รู้ว่าเจ็บเพราะอะไร การรักษาก็จะเป็นเพียงการแก้ปลายเหตุเท่านั้น

การบาดเจ็บแบบเฉียบพลัน (Acute Injury)

      อาการบาดเจ็บเฉียบพลันเกิดขึ้นทันทีจากแรงกระแทก แรงบิด หรืออุบัติเหตุขณะเล่นกีฬา เช่น

  • ข้อเท้าพลิก (Ankle Sprain) 
  • กล้ามเนื้อฉีก (Muscle Strain) 
  • เอ็นยืดเกิน (Ligament Sprain) 
  • กระแทกจนฟกช้ำ (Contusion)

กลไกทางสรีรวิทยา:

      เมื่อเกิดการบาดเจ็บเฉียบพลัน ร่างกายจะเข้าสู่ “ระยะอักเสบ (Inflammation Phase)” ภายใน 24–72 ชั่วโมงแรก ซึ่งเป็นช่วงที่มีการหลั่งสารเคมี เช่น Prostaglandin และ Cytokine เพื่อเริ่มการซ่อมแซม แต่ก็เป็นช่วงที่ปวด บวม และขยับลำบากมากที่สุด

แนวทางรับมือ:

      หลักการที่ใช้ในปัจจุบันคือ POLICEProtection – Optimal Loading – Ice – Compression – Elevation ต่างจากแนวคิดเดิมที่เน้น “พักเฉย ๆ” เพราะการขยับอย่างเหมาะสมภายใต้การควบคุมของนักกายภาพจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและกระบวนการฟื้นฟูเนื้อเยื่อให้เร็วกว่าการพักนิ่งครับ

การบาดเจ็บแบบเรื้อรัง (Overuse Injury)

      เป็นการบาดเจ็บที่ค่อย ๆ สะสมจากการใช้งานซ้ำ (Repetitive Microtrauma) มักเกิดในนักกีฬาที่ซ้อมหนัก เล่นถี่ หรือมีท่าทางการเคลื่อนไหวผิดซ้ำ ๆ
เช่น

  • ปวดเข่าทางด้านหน้า Patellar Tendinopathy (Jumper’s Knee) 
  • ปวดรองช้ำ Plantar Fasciopathy (พังผืดฝ่าเท้าอักเสบ) 
  • ปวดข้อศอกด้านนอก Tennis Elbow (Lateral Epicondylitis) 
  • ปวดต้นขาหลัง Hamstring Tendinopathy

ลักษณะเด่น:

      ปวดตื้อ ๆ ขณะใช้งาน ปวดตอนเริ่มเล่น พอวอร์มแล้วดีขึ้น แต่กลับมาปวดอีกหลังพัก นี่คือสัญญาณของ “tendinopathy” ซึ่งหากปล่อยไว้นานจะเกิดการเสื่อมของเส้นเอ็นและลดประสิทธิภาพของกล้ามเนื้อรอบข้อ

หลักฐานทางวิทยาศาสตร์:

      งานวิจัย British Journal of Sports Medicine (BJSM, 2025) พบว่า Shockwave Therapy (ESWT) เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่และเพิ่มการไหลเวียนเลือดบริเวณเอ็นหรือพังผืดที่อักเสบ โดยเฉพาะใน Achilles tendinopathy, Hamstring tendinopathy และ Plantar fasciopathy ซึ่งให้ผลดีเมื่อใช้ร่วมกับการออกกำลังกายเฉพาะทาง

การบาดเจ็บผสม (Combined Injury)

      ในนักกีฬาหลายคน โดยเฉพาะสายอาชีพหรือผู้ที่เล่นต่อเนื่องมาหลายปี มักเกิดการบาดเจ็บแบบผสม คือ “เรื้อรังซ้อนเฉียบพลัน (Chronic on acute)” เช่น

  • เอ็นหัวไหล่อักเสบเรื้อรัง แล้วเกิดฉีกบางส่วนจากการซ้อมหนัก 
  • พังผืดฝ่าเท้าอักเสบจนเดินผิดท่า ส่งผลต่อเข่าหรือสะโพก

      ในกรณีนี้ การรักษาไม่สามารถใช้แนวทางเดียว ต้องใช้การประเมินทั้งระบบ (Whole Kinetic Chain Assessment) เพื่อหาจุดต้นเหตุที่แท้จริง เช่น ความแข็งของฟาเชีย (Fascial Restriction), การควบคุมลำตัว (Core Control) หรือรูปแบบแรงที่ลงเท้าผิด (Abnormal Load Distribution)

ทำไมต้อง “เข้าใจอาการ” ก่อนรักษา

เพราะทุกอาการบาดเจ็บมีรากที่ต่างกัน

  • เจ็บที่เข่า → อาจมาจากการทำงานผิดของสะโพก 
  • ปวดฝ่าเท้า → อาจมาจากน่องตึง ( tight calf) หรือ สะโพกหมุน (hip rotation) ที่ไม่สมดุล 
  • เจ็บซ้ำบ่อย → อาจเพราะยังไม่ได้ปรับกลไกการเคลื่อนไหว (Movement Fault)

      ดังนั้น การรักษาที่ได้ผลต้องเริ่มจาก “การเข้าใจร่างกายของนักกีฬาแบบองค์รวม” ไม่ใช่แค่ดูเฉพาะจุดที่ปวด แต่ต้องวิเคราะห์เชิงลึก ตั้งแต่ Biomechanics, Muscle Chain, และ Pattern การเคลื่อนไหว จึงจะสามารถฟื้นฟูได้ตรงจุดและป้องกันการเจ็บซ้ำในอนาคตครับ

“การเข้าใจว่าเจ็บแบบไหน สำคัญพอ ๆ กับการรักษาให้หาย”
เพราะเมื่อคุณรู้จักร่างกายตัวเองมากขึ้น การฟื้นฟูจะไม่ใช่แค่การรักษา แต่คือการ พัฒนาให้แข็งแรงกว่าเดิม

ปฐมพยาบาลนักกีฬาบาดเจ็บอย่างถูกวิธี (First Aid for Sports Injury)

      การปฐมพยาบาลที่ถูกต้องใน “ช่วง 24–72 ชั่วโมงแรกหลังบาดเจ็บ” คือปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะกำหนดว่า
นักกีฬาจะ “หายเร็ว” หรือ “กลายเป็นอาการเรื้อรัง”

      หลายครั้งที่อาการเล็กน้อยกลายเป็นปัญหาใหญ่ เพราะการดูแลไม่ถูกต้องตั้งแต่ต้น — เช่น การนวดแรงเกินไป, ประคบร้อนเร็วเกินไป หรือกลับไปซ้อมทั้งที่ยังอักเสบอยู่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจทำให้เนื้อเยื่อที่กำลังซ่อมแซม “ฉีกซ้ำ” และทำให้ร่างกายเข้าสู่วงจรการอักเสบซ้ำ (Recurrent Inflammation)

หลักการ POLICE — มาตรฐานใหม่ของการปฐมพยาบาลทางกีฬา

      ในอดีตเราคุ้นกับคำว่า RICE (Rest, Ice, Compression, Elevation)
แต่แนวทางใหม่ของการแพทย์กีฬาได้พัฒนาเป็น POLICE ซึ่งเหมาะกับการดูแลในภาคสนามมากกว่า POLICE = Protection – Optimal Loading – Ice – Compression – Elevation

Protection — ป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ

      หยุดกิจกรรมทันทีเมื่อเกิดอาการปวดเฉียบพลัน หลีกเลี่ยงการลงน้ำหนักหรือเคลื่อนไหวบริเวณที่เจ็บ และใช้ที่ดาม ผ้ายืด หรือที่ล็อคข้อ ( Splint, Taping, Elastic Bandage )ช่วยประคองชั่วคราว

Optimal Loading — เคลื่อนไหวในระดับที่เหมาะสม

      แทนที่จะ “พักนิ่ง” ทั้งหมด การขยับเล็กน้อยภายใต้การควบคุมของนักกายภาพจะช่วยกระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูเนื้อเยื่อ (Tissue Remodeling) และป้องกันข้อติดหรือกล้ามเนื้อลีบ หลักฐานจาก APTA (American Physical Therapy Association) ระบุว่า การ “ขยับอย่างเหมาะสม” ในช่วง early stage ช่วยลดระยะเวลาการฟื้นตัวได้ถึง 30–40%

Ice — ประคบเย็นเพื่อลดการอักเสบ

      ใช้ น้ำแข็งหรือ Cold Pack ประคบ 15–20 นาทีต่อครั้ง ทุก 2–3 ชั่วโมงในช่วง 48 ชั่วโมงแรก ห้ามประคบเกิน 20 นาที เพราะอาจทำให้เนื้อเยื่อช้ำจากความเย็น (Frostbite-like effect)

Compression — พันรัดเพื่อลดบวม

      ใช้ผ้ายืดพันในทิศทางจากส่วนปลาย (ไกลหัวใจ) เข้าหาส่วนต้น (ใกล้หัวใจ) เพื่อช่วยให้ของเหลวไหลกลับ ลดอาการบวม แรงรัดควรพอดี ไม่แน่นจนชา หรือเลือดไม่เดิน

Elevation — ยกส่วนที่บาดเจ็บให้สูง

      วางบริเวณที่เจ็บให้อยู่ “สูงกว่าระดับหัวใจ” เพื่อช่วยลดแรงดันในหลอดเลือดและลดอาการบวม เพิ่มการไหลเวียนเลือดกลับไปแลกเปลี่ยนในระบบ

ข้อควรระวังที่มักทำผิดในการปฐมพยาบาล

  1. ประคบร้อนทันทีหลังเจ็บ — จะยิ่งเพิ่มการอักเสบและเลือดคั่ง 
  2. นวดคลายกล้ามเนื้อทันที — เสี่ยงทำให้เส้นใยเนื้อเยื่อที่ฉีกเล็กน้อยฉีกขาดเพิ่ม 
  3. กลับไปซ้อมเร็วเกินไป — โดยเฉพาะอาการที่ยังปวด บวม หรือมีข้อจำกัดการเคลื่อนไหว 
  4. กินยาแก้อักเสบ (NSAIDs) ต่อเนื่องนานเกิน — อาจขัดขวางการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ในระยะซ่อมแซม 

งานวิจัยจาก BJSM 2025 แนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้ NSAIDs ระหว่างรับการรักษาด้วย Shockwave เพราะลดประสิทธิภาพของการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ

เมื่อไหร่ควรพบ “นักกายภาพบำบัด” ทันที

  • ปวดมากหรือเคลื่อนไหวไม่ได้ 
  • มีเสียง “ป๊อบ” หรือรู้สึกเหมือนมีบางอย่างฉีกในขณะเกิดเหตุ 
  • อาการบวมเพิ่มขึ้นหลัง 2 วัน 
  • ปวดลึกในข้อหรือรู้สึกไม่มั่นคงเวลาเดิน 
  • อาการไม่ดีขึ้นหลังผ่านไป 5–7 วัน 

การประเมินโดยนักกายภาพบำบัดจะช่วยระบุว่าอาการนั้นเป็น กล้ามเนื้อ, เอ็น, หรือกระดูก และควรใช้วิธีใดในการฟื้นฟู เช่น Ultrasound, TENS, Shockwave Therapy, หรือ Exercise Therapy

การใช้ Shockwave Therapy เสริมการฟื้นฟูระยะแรก

      ในกรณีที่อาการบาดเจ็บเข้าสู่ระยะเรื้อรัง (มากกว่า 3 สัปดาห์) หรือมีพังผืดและการอักเสบซ้ำ ๆ สามารถเริ่มใช้ Extracorporeal Shockwave Therapy (ESWT) เพื่อกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมของร่างกายได้ โดยงานวิจัย BJSM 2025 แนะนำว่า การใช้ Shockwave แบบ Focused หรือ Radial 3–5 ครั้ง ห่างกัน 1–2 สัปดาห์ ร่วมกับการฝึกกล้ามเนื้อเฉพาะ จะช่วยให้เนื้อเยื่อฟื้นตัวได้เร็วและแข็งแรงขึ้น

“ปฐมพยาบาลที่ถูกวิธี คือการฟื้นฟูที่เริ่มต้นเร็วที่สุด” เมื่อเข้าใจหลักการ POLICE และรู้ข้อควรระวัง คุณจะสามารถลดความเสียหายของเนื้อเยื่อ ร่นระยะเวลาพัก และกลับไปซ้อมได้เร็วขึ้นอย่างปลอดภัย

การประเมินและวินิจฉัยโดยนักกายภาพบำบัด — ขั้นตอนที่ไม่ควรมองข้าม

      หลายคนมักเข้าใจผิดว่า “การรักษา” คือการนวด ยืด หรือทำเครื่องมือ แต่ในความจริงแล้ว หัวใจสำคัญที่สุดคือ “การประเมิน (Assessment)” เพราะถ้าเริ่มต้นวินิจฉัยผิด จุดที่รักษาก็จะผิดตามไปด้วย และผลลัพธ์คือ “เจ็บซ้ำ” หรือ “หายช้า”

      ในมุมมองของนักกายภาพบำบัด การประเมินคือการวิเคราะห์เชิงระบบ (Systematic Analysis) เพื่อหาคำตอบว่า “ร่างกายเจ็บเพราะอะไร?” และ “จุดอ่อนที่แท้จริงอยู่ตรงไหน?”

ซึ่งไม่ใช่แค่ดูบริเวณที่ปวด แต่ต้องเข้าใจทั้งระบบกล้ามเนื้อ–ข้อต่อ–เส้นประสาท–ฟาเชีย (Fascia) ที่ทำงานสัมพันธ์กัน

ขั้นตอนที่ 1 — การซักประวัติและเข้าใจบริบทของการบาดเจ็บ (History Taking & Context Analysis)

การพูดคุยกับนักกีฬาเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้เข้าใจ “ที่มา” ของอาการบาดเจ็บ  (Mechanism of injury)เช่น

  • เกิดจากจังหวะไหนของการเล่น (jump, sprint, swing, twist) 
  • เคยบาดเจ็บบริเวณนี้มาก่อนหรือไม่ 
  • โปรแกรมการซ้อมเป็นอย่างไร (volume / intensity / recovery) 
  • พื้นสนาม, รองเท้า, หรืออุปกรณ์ที่ใช้มีส่วนไหม

      การซักประวัติที่ดีช่วยแยกได้ว่าอาการนั้นเป็นแบบ Acute injury หรือ Overuse injury และช่วยให้นักกายภาพคาดเดาโครงสร้างที่น่าจะเกี่ยวข้อง เช่น กล้ามเนื้อ เอ็น ข้อต่อ หรือเส้นประสาท

ขั้นตอนที่ 2 — การตรวจร่างกายเฉพาะจุด (Physical Examination)

ในขั้นตอนนี้ นักกายภาพจะทำการตรวจอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่

  • Observation: ดูท่าทาง (Posture), alignment, การลงน้ำหนัก, ลักษณะการเดิน 
  • Palpation: คลำหาจุดกดเจ็บ ความตึง ความร้อน หรือก้อนบวม 
  • Range of Motion (ROM): ตรวจการเคลื่อนไหวของข้อต่อ ว่ามีข้อจำกัดหรือไม่ 
  • Strength Test: วัดความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเฉพาะกลุ่ม 
  • Special Tests: ใช้ทดสอบเฉพาะเพื่อยืนยันว่าเป็นโครงสร้างใด เช่น 
    • Lachman Test → เอ็นไขว้หน้า (ACL) 
    • Thompson Test → Achilles tendon 
    • Hawkins-Kennedy Test → Rotator cuff impingement

ขั้นตอนที่ 3 — การประเมินการเคลื่อนไหวเชิงฟังก์ชัน (Movement Analysis)

อาการเจ็บในนักกีฬามักเกิดจาก “ท่าการเคลื่อนไหวผิดซ้ำ” (Faulty Movement Pattern) ดังนั้น การดูแค่ข้อเดียวไม่พอ ต้องประเมินทั้ง chain เช่น

  • Functional Movement Screen (FMS) 
  • Overhead squat test / Single-leg squat test 
  • Running or Swing Analysis สำหรับกีฬาที่มีการเคลื่อนไหวเฉพาะทาง

      ตัวอย่าง: นักฟุตบอลที่ปวดเข่าด้านหน้า อาจไม่ได้มีปัญหาที่เข่าโดยตรง แต่เกิดจากการ ควบคุมสะโพก (Hip Control) ไม่ดี ทำให้แรงกระแทกลงที่เข่าเกินไป ถ้าไม่เจอต้นเหตุที่สะโพก แล้วไปรักษาแต่เข่า ก็จะกลับมาเจ็บอีกแน่นอน

ขั้นตอนที่ 4 — การวิเคราะห์เชิงระบบและวางแผนฟื้นฟู (Clinical Reasoning & Planning)

เมื่อนักกายภาพรวบรวมข้อมูลทั้งหมดแล้ว จะใช้ Clinical Reasoning เพื่อหาความสัมพันธ์ของอาการ เช่น

  • ปวดกล้ามเนื้อเพราะ overuse → ปรับโหลดการฝึก + ฟื้นฟูด้วย Shockwave 
  • เจ็บข้อเพราะ poor alignment → ปรับท่าการเคลื่อนไหว + strengthening 
  • เส้นเอ็นอักเสบจากแรงกระแทกซ้ำ → ใช้ Shockwave กระตุ้น healing + โปรแกรม eccentric exercise

      งานวิจัย BJSM 2025 แนะนำว่า การผสมผสาน Shockwave Therapy ร่วมกับโปรแกรมกายภาพเฉพาะทาง ให้ผลลัพธ์ดีกว่าการใช้ Shockwave หรือ Exercise เพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะใน tendinopathy และ bone stress injury

 ทำไม “การประเมิน” ถึงสำคัญกว่าการรักษา

      เพราะการประเมินที่แม่นยำจะช่วยให้เรา รู้ต้นเหตุของอาการ, วางโปรแกรมฟื้นฟูได้ตรงจุด, ลดเวลาในการพักฟื้น, ป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ, และช่วยให้นักกีฬากลับไปเล่นได้อย่างมั่นใจm ถ้าไม่รู้ว่าเจ็บเพราะอะไร ต่อให้รักษาดีแค่ไหนก็ไม่หายขาด”

      ทุกอาการบาดเจ็บมีเหตุผลซ่อนอยู่เสมอ หน้าที่ของเราคือหามันให้เจอ” การประเมินเชิงลึกคือรากฐานของการฟื้นฟูอย่างยั่งยืน เพราะเมื่อเข้าใจระบบของร่างกายทั้งหมด การรักษาก็ไม่ใช่การเดาอีกต่อไป แต่เป็น “ศาสตร์ที่แม่นยำ”

ฟื้นฟูนักกีฬาหลังบาดเจ็บให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง

      การฟื้นฟูนักกีฬาที่บาดเจ็บไม่ใช่แค่ “ทำให้หายปวด”
แต่คือกระบวนการที่ต้อง พาร่างกายกลับไปสู่สมรรถภาพเดิม (Return to Pre-Injury Level)
หรือดียิ่งกว่าเดิม เพื่อป้องกันการบาดเจ็บซ้ำในอนาคต

      แนวทางของนักกายภาพมืออาชีพจะอิงตามหลัก “Phase-Based Rehabilitation” ซึ่งแบ่งเป็น 4 ระยะหลัก ตั้งแต่ระยะลดอักเสบ → ฟื้นฟูสมรรถภาพ → ทดสอบความพร้อม → กลับไปเล่นกีฬา

Phase 1: ลดปวดและอักเสบ (Pain & Inflammation Control Phase)

เป้าหมาย: ลดปวด บวม ควบคุมการอักเสบ และป้องกันการสูญเสียการเคลื่อนไหว

แนวทางการดูแล:

  • Modalities: ใช้เครื่องมือช่วยลดอาการ เช่น 
    • Cold Therapy / TENS / Ultrasound / Shockwave Therapy 
    • Shockwave Therapy (ESWT) มีหลักฐานจาก BJSM 2025 ว่าสามารถลดอาการปวดและกระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูเนื้อเยื่อ โดยเฉพาะใน tendinopathy และ bone stress injury
      SWT.full 
  • Gentle Mobility Exercise: การขยับเบา ๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือด 
  • Isometric Exercise: เกร็งกล้ามเนื้อโดยไม่ขยับข้อต่อ เพื่อรักษาความแข็งแรง

ข้อควรระวัง: หลีกเลี่ยงการฝืนหรือยืดแรงในช่วงที่ยังบวม หรือเจ็บเฉียบพลัน

Phase 2: ฟื้นฟูการเคลื่อนไหวและกล้ามเนื้อ (Mobility & Strengthening Phase)

เป้าหมาย: ฟื้นฟูการเคลื่อนไหวปกติของข้อต่อ และเริ่มเสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบ ๆ บริเวณบาดเจ็บ

แนวทางการฝึก:

  • Stretching & Joint Mobilization: เพื่อคืนความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อ 
  • Progressive Strengthening:
    เริ่มจาก Isotonic Exercise → Eccentric → Functional Strength
    ตัวอย่างเช่น 

    • Hamstring tendinopathy → ใช้ Eccentric loading (Nordic Curl) 
    • Plantar fasciitis → Heel raise แบบช้า ๆ 
    • Patellar tendinopathy → Decline squat 25° 
  • Shockwave Therapy ร่วมกับการฝึกกล้ามเนื้อเฉพาะทาง งานวิจัย BJSM 2025 แนะนำว่าการใช้ Shockwave ทุก 1–2 สัปดาห์ รวม 3–5 ครั้ง ควบคู่กับการฝึกแบบ Progressive Loading ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเส้นเอ็นได้อย่างมีนัยสำคัญ

กล้ามเนื้อเริ่มรับแรงได้ดีขึ้น การเคลื่อนไหวคล่องตัวขึ้น และลดความกลัวการใช้งาน (Kinesiophobia)

Phase 3: ฝึกสมดุลและควบคุมการเคลื่อนไหว (Balance & Neuromuscular Control Phase)

เป้าหมาย: ฟื้นฟูการทำงานร่วมกันของระบบประสาท–กล้ามเนื้อ (Neuromuscular Coordination) เพื่อป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ

รูปแบบการฝึก:

  • Proprioception Training: ฝึกการทรงตัว เช่น 
    • Ball balance, wobble board, single-leg stance 
  • Agility & Plyometric: ฝึกการตอบสนองต่อแรงและจังหวะ เช่น 
    • Jump & Stick, Side Hop, Agility Ladder 
  • Core Stability & Kinetic Chain Control: ฝึกการทำงานร่วมของแกนกลางกับแขนขา เช่น 
    • Pallof Press, Dead Bug, Bird-Dog

นักกายภาพบำบัดจะวิเคราะห์ว่าระบบควบคุมการเคลื่อนไหวของนักกีฬาคนนี้ “สับสน” ที่จุดไหน เช่น สะโพก, เข่า หรือเท้า แล้วออกแบบการฝึกให้ตรงจุด

Phase 4: กลับเข้าสู่กีฬาอย่างปลอดภัย (Return to Sport Phase)

เป้าหมาย: สร้างความมั่นใจและสมรรถภาพเทียบเท่าก่อนบาดเจ็บโดยผ่านเกณฑ์วัด (Functional Testing) ก่อนกลับสนาม

แบบทดสอบที่ใช้:

  • Y-Balance Test → ตรวจสมดุล 
  • Hop Test Series (Single / Triple / Crossover) → ประเมินแรงกระโดดเทียบข้างที่ดี 
  • MRSS (MoveOn Return-to-Sport Score) → Checklist ที่ใช้ในคลินิก Move On รวมการวัด ROM, Strength, Balance, และ Confidence

แนวทางของ Move On Clinic:

  • ประเมินผลทุก Phase อย่างเป็นระบบ 
  • ใช้เครื่องมือ เช่น Focus Shockwave 
  • ออกแบบ Sport-Specific Training เช่น Golf Swing Drill, Football Pivot Control, Running Mechanics
    “เป้าหมายของการฟื้นฟูไม่ใช่กลับไปเล่นได้เฉย ๆ แต่ต้องกลับไปเล่นได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัย และแข็งแรงกว่าเดิม”

เสริมด้วยเทคโนโลยีช่วยฟื้นฟู

Move On Clinic ใช้เทคโนโลยีที่อ้างอิงหลักฐานวิทยาศาสตร์ เช่น

  • Shockwave Therapy (ESWT) – กระตุ้นการซ่อมแซมเอ็นและพังผืด 
  • Movement Analysis System – วิเคราะห์ Biomechanics แบบเรียลไทม์ 
  • IASTM / Cupping / Laser – เสริมการไหลเวียนและลดพังผืด

เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้นักกายภาพสามารถปรับโปรแกรมได้แม่นยำและเร็วขึ้นในแต่ละระยะ

“การฟื้นฟูนักกีฬาไม่ใช่แค่ทำให้หาย แต่คือการสร้างร่างกายใหม่ที่แข็งแรงกว่าเดิม”

      หากคุณบาดเจ็บจากกีฬา ไม่ว่าระดับไหน อย่ารอให้หายเอง เพราะการฟื้นฟูอย่างมีระบบ ภายใต้การดูแลของนักกายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญ คือกุญแจสำคัญในการ กลับมาแข็งแรงและเล่นกีฬาได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง

Shockwave Therapy — เทคโนโลยีเสริมที่ช่วยให้นักกีฬาฟื้นตัวเร็วขึ้น

      อาการบาดเจ็บของนักกีฬา โดยเฉพาะแบบ “เรื้อรัง” เช่น เอ็นอักเสบ (Tendinopathy) หรือ พังผืดฝ่าเท้าอักเสบ (Plantar Fasciopathy) มักใช้เวลาฟื้นตัวนาน เพราะเนื้อเยื่อในบริเวณนั้นมีเลือดมาเลี้ยงน้อย
ซึ่งเทคโนโลยีอย่าง Extracorporeal Shockwave Therapy (ESWT) ได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ปัญหานี้โดยตรง

หลักการทำงานของ Shockwave Therapy

      Shockwave คือ คลื่นกระแทกพลังงานสูง (Acoustic Wave) ที่ส่งผ่านเข้าสู่เนื้อเยื่อในระดับลึก เป้าหมายไม่ใช่ “ทำลาย” แต่คือ “กระตุ้นให้ร่างกายเริ่มกระบวนการซ่อมแซมตัวเอง” อีกครั้ง

เมื่อคลื่นกระแทกเข้าสู่ร่างกาย จะเกิดปฏิกิริยาหลัก 3 อย่างคือ

  1. เพิ่มการไหลเวียนเลือด (Neovascularization) – กระตุ้นการสร้างเส้นเลือดฝอยใหม่ ทำให้เนื้อเยื่อได้รับออกซิเจนมากขึ้น 
  2. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Collagen Synthesis) – ช่วยให้เอ็นและพังผืดที่อักเสบกลับมาแข็งแรง 
  3. ลดการรับรู้ความเจ็บปวด (Pain Modulation) – ผ่านการยับยั้ง Substance P และกระตุ้นการหลั่ง Endorphin ตามกลไกทางประสาท
    ผลลัพธ์ที่ได้คือ “ลดปวด ฟื้นตัวเร็ว และกลับมาใช้งานได้เต็มที่” โดยไม่ต้องพักนาน

ประเภทของ Shockwave ที่ใช้ในงานกายภาพบำบัด

ประเภท

พลังงาน

ระดับความลึก

เหมาะสำหรับ

Radial Shockwave (rESWT)

กระจาย

1–3 ซม.

กล้ามเนื้อตึง, Trigger point, Fascia

Focused Shockwave (fESWT)

เฉพาะจุด

3–6 ซม.

เอ็น, จุดเกาะกล้ามเนื้อ, พังผืด, กระดูก

ในคลินิก Move On มักใช้ Focused Shockwave (fESWT) เพื่อการการรักษาที่ลงลึกและตรงจุดการรักษา

อาการบาดเจ็บที่เหมาะกับการใช้ Shockwave Therapy

จากงานวิจัย British Journal of Sports Medicine (BJSM, 2025) พบว่า Shockwave มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาอาการบาดเจ็บเรื้อรังในนักกีฬา เช่น

  • Achilles Tendinopathy 
  • Patellar Tendinopathy (Jumper’s Knee) 
  • Medial Tibial Stress Syndrome (Shin Splint) 
  • Hamstring Tendinopathy 
  • Plantar Fasciopathy 
  • Bone Stress Injury

ผลการศึกษายืนยันว่า ESWT ช่วยให้เนื้อเยื่อหายเร็วขึ้น เพิ่มความแข็งแรงของเอ็น และลดอัตราการบาดเจ็บซ้ำได้อย่างมีนัยสำคัญ

แนวทางการรักษาตามหลักฐานวิทยาศาสตร์ (Evidence-based Protocol)

ตามคำแนะนำจาก BJSM 2025 Delphi Consensus สำหรับผู้ป่วยทางกีฬา:

  • ความถี่: 1 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือทุก 1–2 สัปดาห์ 
  • จำนวนครั้ง: 3–5 ครั้ง ขึ้นกับความรุนแรงของอาการ 
  • ความแรง: อยู่ในระดับปวดพอทน (VAS 6–7) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์การกระตุ้นสูงสุด 
  • ห้ามใช้ยาชา (No Local Anesthetic): เพราะลดการตอบสนองของร่างกาย 
  • หลีกเลี่ยง NSAIDs 48 ชม. ก่อนและหลังการรักษา เพราะยาจะรบกวนการสร้างคอลลาเจนใหม่

ข้อดีของ Shockwave Therapy สำหรับนักกีฬา

  • ลดอาการปวดได้รวดเร็ว โดยเฉพาะในเคส tendinopathy ที่เป็นมานาน
  • กระตุ้นการฟื้นฟูเนื้อเยื่อโดยไม่ต้องผ่าตัด
  • ใช้เวลาพักน้อย – สามารถกลับไปซ้อมเบา ๆ ได้ภายใน 1–2 วัน
  • ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของโปรแกรมฟื้นฟู เมื่อใช้ร่วมกับ การออกกำลังกายเพื่อรักษา
  • ปลอดภัยและมีหลักฐานรองรับระดับสูง (High-Level Evidence)

ทำไม Move On Clinic ถึงเลือกใช้ Shockwave ในการฟื้นฟูนักกีฬา

      เพราะเรามองว่า Shockwave ไม่ใช่เพียงเครื่องมือ แต่คือ “ตัวเร่งการฟื้นฟู (Rehab Accelerator)” ทีมกายภาพบำบัดของ Move On ใช้ Shockwave ร่วมกับการประเมินเชิงระบบ (Movement Analysis) เพื่อให้แน่ใจว่า “ทุกครั้งที่ใช้ Shockwave — ถูกจุด ถูกเวลา และตรงกับกลไกการบาดเจ็บ”

ตัวอย่างเช่น

  • นักวิ่งที่มี shin splint → ใช้ Shockwave ที่จุดเกาะ Tibialis Posterior ร่วมกับโปรแกรมแก้ pronation 
  • นักกอล์ฟที่มี medial elbow pain → ใช้ Focused ESWT ที่ common flexor tendon พร้อมฝึก grip control 
  • นักฟุตบอลที่มี hamstring tendinopathy → ใช้Focused  ESWT ร่วมกับ eccentric training

“Shockwave Therapy ไม่ได้มาแทนการออกกำลังกาย แต่ช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่อการฟื้นฟูได้เร็วขึ้น” ในฐานะนักกายภาพบำบัด เราใช้ Shockwave เพื่อปลดล็อกวงจรการอักเสบเรื้อรังให้เนื้อเยื่อกลับมา “จำวิธีซ่อมตัวเอง” อีกครั้ง ซึ่งคือสิ่งที่ทำให้นักกีฬาหลายคนกลับมาซ้อมได้เร็วและแข็งแรงกว่าที่เคยเป็น

การป้องกันการบาดเจ็บจากกีฬา — อย่ารอให้เจ็บก่อนค่อยรักษา

      ในวงการกีฬา มีคำพูดหนึ่งที่นักกายภาพและโค้ชระดับโลกย้ำเสมอว่า “การป้องกัน คือการฝึกที่ชาญฉลาดที่สุด” เพราะเมื่อคุณเข้าใจว่าการบาดเจ็บส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจาก “อุบัติเหตุ” แต่เกิดจาก “ความไม่พร้อมของร่างกาย” คุณจะมองเห็นว่าการฝึกเพื่อป้องกัน (Prevention) คือการลงทุนระยะยาวที่ทำให้คุณเล่นกีฬาได้ต่อเนื่องโดยไม่ต้องหยุดพักจากอาการเจ็บ

ทำไมร่างกายถึงบาดเจ็บซ้ำ?

อาการบาดเจ็บส่วนใหญ่เกิดจาก 3 ปัจจัยหลักที่ซ่อนอยู่ในร่างกาย:

  1. ความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อ (Muscle Imbalance)
    เช่น Quadriceps แข็งแรงกว่า Hamstring → เข่ารับแรงมากเกินไป 
  2. เทคนิคการเคลื่อนไหวที่ผิดซ้ำ (Faulty Movement Pattern)
    เช่น ท่าลงน้ำหนักไม่ตรง, หมุนตัวผิดแกน, Overstride ตอนวิ่ง 
  3. ภาระการฝึกเกินขีดจำกัด (Overtraining / Load Error)
    เพิ่มระยะหรือความหนักเร็วเกินไป โดยไม่มีช่วง Recovery ที่เพียงพอ

เมื่อปัจจัยเหล่านี้สะสมมากพอ ร่างกายจะเริ่มส่ง “สัญญาณเตือน” เช่น ปวดเมื่อยบ่อย, ตึงตอนเช้า, หรือรู้สึกอ่อนแรงบางจุด ซึ่งหากละเลย สุดท้ายจะกลายเป็นการบาดเจ็บจริง

หลัก 3 เสาหลักของการป้องกันการบาดเจ็บ (Move On Injury Prevention Pillars)

1. Prehabilitation – ฟื้นฟูก่อนบาดเจ็บ

คือแนวคิด “ฝึกเพื่อป้องกันก่อนที่จะเจ็บ” ดยนักกายภาพจะวิเคราะห์จุดอ่อนของแต่ละคน (Weakness) แล้วออกแบบการฝึกเฉพาะ เช่น

  • ฝึกควบคุมแกนกลางลำตัว (Core Control) 
  • ปรับการทำงานของกล้ามเนื้อรอบข้อต่อให้สมดุล (Hip–Knee–Ankle Chain) 
  • ยืดกล้ามเนื้อที่ตึงและเสริมส่วนที่อ่อนแรง (Mobility & Stability Balance)

 ตัวอย่าง: นักกอล์ฟ → ฝึก Rotation Mobility + Glute Activation เพื่อป้องกันปวดหลัง
นักวิ่ง → ฝึก Single-leg Control + Calf Strength เพื่อป้องกัน Shin Splint

2. Load Management – ควบคุมปริมาณการฝึก

      ไม่ว่าคุณจะฝึกหนักแค่ไหน ถ้า “โหลดไม่สมดุล” ร่างกายก็จะพัง การจัดการโหลดคือการวางแผน Volume / Intensity / Frequency ให้เหมาะกับสมรรถภาพปัจจุบัน

แนวทางที่นักกายภาพใช้คือ “10% Rule” อย่าเพิ่มความหนักหรือระยะเกิน 10% ต่อสัปดาห์

รวมถึงการใช้เครื่องมือวัดอย่าง

  • Heart Rate Monitor 
  • Manual Muscle Test 
  • RPE (Rate of Perceived Exertion)
    เพื่อประเมินว่าร่างกายรับภาระได้แค่ไหนต่อวัน

หลักฐานจาก BJSM ระบุว่า การจัดการโหลดอย่างเหมาะสมสามารถลดอัตราการบาดเจ็บได้มากกว่า 40–50% โดยเฉพาะในนักกีฬาวิ่ง, ฟุตบอล, และแบดมินตัน

3. Movement Quality – พัฒนาคุณภาพการเคลื่อนไหว

      การเคลื่อนไหวที่ถูกต้องคือ “วัคซีนป้องกันการเจ็บ” ที่ดีที่สุด Move On Clinic ใช้การประเมินแบบ Functional Movement Analysis เพื่อดูว่าร่างกายทำงานร่วมกันอย่างไร

หากพบว่าบางข้อต่อทำงานมากเกินไป (Overwork หรือบางจุดทำงานน้อย (Underwork) นักกายภาพจะปรับด้วยโปรแกรมเฉพาะ เช่น

  • Corrective Exercise: ท่าฝึกแก้การชดเชย เช่น Hip Hinge, Pallof Press 
  • Dynamic Mobility Training: เช่น World’s Greatest Stretch, Cat-Cow, Lunge Rotation 
  • Stability Training: เช่น Single-leg Deadlift, Bird-dog

การฝึกคุณภาพการเคลื่อนไหวช่วยลดแรงผิดกระจาย, ป้องกัน overload และทำให้การออกกำลังกายทุกชนิดมีประสิทธิภาพมากขึ้น

โปรแกรมกายภาพเฉพาะกีฬา (Sport-Specific Physio Program)

เพราะแต่ละกีฬามีรูปแบบแรงและการเคลื่อนไหวเฉพาะตัว การป้องกันที่ดีจึงต้อง “เจาะจงกับกีฬา” เช่น

  •  Golf Physio Program: เพิ่ม rotation control และ spinal stability 
  •  Running Physio Program: ปรับ stride length, cadence, และ load distribution 
  •  Football Rehab & Prevention: เสริม hamstring, hip adductor, และ knee stability 
  •  CrossFit & Gym Program: ปรับ shoulder mobility และ core bracing

การฝึกแบบเฉพาะกีฬาทำให้ร่างกายเรียนรู้การรับแรงและเคลื่อนไหวในแบบที่ใช้จริงในสนาม

      “อย่ารอให้เจ็บก่อนค่อยเริ่มดูแลตัวเอง” เพราะ การป้องกัน คือการฟื้นฟูล่วงหน้า เมื่อคุณเข้าใจร่างกาย ฝึกอย่างถูกวิธี และได้รับคำแนะนำจากนักกายภาพที่เข้าใจ biomechanics ของกีฬา คุณจะไม่เพียงแค่ “ไม่เจ็บ” แต่ยัง “เล่นได้ดีขึ้น และไปได้ไกลกว่าเดิม”

ทำไมต้องฟื้นฟูนักกีฬากับนักกายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญ

      การฟื้นฟูนักกีฬาหลังบาดเจ็บไม่ใช่แค่เรื่องของ “กล้ามเนื้อ” หรือ “ความแข็งแรง” แต่คือเรื่องของ ระบบกลไกทั้งหมดของร่างกาย (Biomechanics System) ที่ทำงานร่วมกันอย่างซับซ้อน และนี่คือเหตุผลว่าทำไม “นักกายภาพบำบัด” จึงเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดในการพาคุณกลับไปสู่สนามอย่างปลอดภัย

1. นักกายภาพไม่รักษาแค่จุดที่ปวด แต่แก้ทั้งระบบ

อาการเจ็บในนักกีฬามักมี “ต้นเหตุซ่อนอยู่” เช่น

  • เจ็บเข่าเพราะสะโพกอ่อนแรง 
  • ปวดหลังเพราะ แกนกลางลำตัว (core muscle) ไม่มั่นคง 
  • เจ็บข้อเท้าซ้ำเพราะการรับรู้ความรู้สึกของข้อต่อ (proprioception) เสีย

      นักกายภาพบำบัดจะมองอาการแบบ “Whole Kinetic Chain” หมายถึง วิเคราะห์ทั้งเส้นทางแรงตั้งแต่เท้าถึงศีรษะ เพื่อหาต้นตอจริง ๆ ของปัญหา แล้วออกแบบการฟื้นฟูที่แก้จากราก “ถ้าเรารักษาแต่ปลายเหตุ คุณอาจหายปวด แต่ไม่หายเจ็บซ้ำ”

2.การฟื้นฟูโดยมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ (Evidence-Based Practice)

ทุกขั้นตอนของการรักษาในคลินิกกายภาพบำบัด ไม่ใช่การเดา แต่มี “หลักฐานรองรับ”
เช่น

  • ใช้แนวทางจาก APTA Clinical Practice Guidelines 
  • ใช้เครื่องมือและเทคนิคที่ได้รับการพิสูจน์ เช่น 
    • Shockwave Therapy (ESWT) — เพิ่มคอลลาเจนและฟื้นฟูเอ็นอักเสบ
    • Exercise Therapy — ฟื้นฟูแรงและการควบคุมการเคลื่อนไหว 
    • Manual Therapy — ปรับข้อต่อและฟาเชียให้เคลื่อนไหวอย่างอิสระ 
    • Neuromuscular Re-education — ฝึกให้สมองกับกล้ามเนื้อทำงานประสานกัน

นักกายภาพที่เชี่ยวชาญจะผสานเทคนิคทั้งหมดนี้เข้าด้วยกันอย่างมีเหตุผลและเป็นลำดับ

3.วางแผนฟื้นฟูอย่างเป็นระบบและวัดผลได้จริง

การฟื้นฟูที่ Move On Clinic จะไม่ใช้แนวคิด “ทำไปเรื่อย ๆ” แต่มี Phase-based Plan ที่ชัดเจน

  • Phase 1: ลดปวด ลดอักเสบ 
  • Phase 2: ฟื้นฟูการเคลื่อนไหว 
  • Phase 3: ฝึกสมดุลและแรงตอบสนอง 
  • Phase 4: ทดสอบพร้อมกลับสู่กีฬา (Return to Sport Test)

ทุกระยะจะมีตัวชี้วัด เช่น ROM, Strength Index, Y-Balance, Hop Test หรือ MRSS Score เพื่อให้รู้ว่า “คุณพร้อมแค่ไหนแล้ว” ฟื้นฟูอย่างเป็นระบบ = กลับไปเล่นได้เร็ว ปลอดภัย และไม่เจ็บซ้ำ

4.เข้าใจจิตใจของนักกีฬา ไม่ใช่แค่ร่างกาย

      การบาดเจ็บทำให้หลายคนรู้สึก “หมดแรงใจ” หรือ “กลัวเจ็บซ้ำ” นักกายภาพบำบัดที่มีประสบการณ์กับนักกีฬาจะเข้าใจดีว่า“การฟื้นฟูไม่ใช่แค่ซ่อมร่างกาย แต่คือการสร้างความมั่นใจกลับคืน”

เราจะคอยประเมินทั้งร่างกายและสภาวะจิตใจไปพร้อมกันค่อย ๆ พาให้คุณกลับไปขยับ ออกกำลังกาย และฝึกซ้อมได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง

5.ทำงานร่วมกับทีมโค้ช เทรนเนอร์ และแพทย์อย่างใกล้ชิด

นักกายภาพบำบัดที่เชี่ยวชาญในงานกีฬาไม่ทำงานคนเดียว แต่จะร่วมวางแผนกับทีมโค้ชและแพทย์ เพื่อให้การฟื้นฟูไม่กระทบตารางการฝึก เช่น

  • ประเมินการกลับสู่สนาม (Return to Play Decision) 
  • สื่อสารกับเทรนเนอร์เรื่อง Load Management 
  • ปรับท่าซ้อมหรืออุปกรณ์เพื่อป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ

นี่คือความแตกต่างระหว่าง “การรักษาทั่วไป” กับ “การฟื้นฟูแบบนักกีฬาอาชีพ” ที่ Move On Clinic ใช้

      “อย่าปล่อยให้ร่างกายที่บาดเจ็บจำท่าผิดไว้ เพราะเมื่อฟื้นฟูอย่างถูกต้อง คุณจะกลับมาแข็งแรงและมั่นใจกว่าเดิม” การฟื้นฟูกับนักกายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญไม่ใช่แค่การรักษาให้หาย แต่คือการ “สร้างสมรรถภาพใหม่” ที่พร้อมให้คุณกลับไปเล่นกีฬาได้อย่างมั่นใจ แข็งแรง และยั่งยืนในระยะยาว

      การบาดเจ็บอาจทำให้คุณรู้สึกเหมือน “ทุกอย่างหยุดลง” แต่ในมุมของนักกายภาพบำบัด มันคือ “โอกาสที่ร่างกายจะได้เรียนรู้ใหม่อีกครั้ง” ทุกความเจ็บปวดมีสาเหตุ และทุกสาเหตุมีทางออก เพียงแค่คุณเลือกที่จะ เข้าใจร่างกายตัวเอง และ ฟื้นฟูอย่างถูกหลักวิทยาศาสตร์

      “การฟื้นฟูไม่ใช่การถอยหลังจากความเจ็บ แต่คือการก้าวไปข้างหน้าอย่างแข็งแรงกว่าเดิม”เราเชื่อว่า “ทุกคนสามารถกลับมาได้” ถ้ามีระบบฟื้นฟูที่ถูกต้อง, นักกายภาพที่เข้าใจ และโปรแกรมที่ออกแบบเฉพาะตัว

หากคุณกำลังเผชิญกับอาการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา ไม่ว่าจะเป็น เข่า, ข้อเท้า, ไหล่, หลัง, หรือพังผืดฝ่าเท้า อย่ารอให้เรื้อรังจนต้องหยุดเล่น

Move On Clinic — คลินิกกายภาพบำบัดเฉพาะทางสำหรับนักกีฬา

มีทีม นักกายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญด้าน Sports Rehab, Shockwave และ Movement Analysis

พร้อมวางแผนฟื้นฟูแบบรายบุคคล เพื่อให้คุณกลับไปเล่นกีฬาได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง