หลายคนที่ออกกำลังกายหรือทำงานหนักมักเคยเจออาการ “ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ” บางครั้งรู้สึกแค่ล้า ๆ แต่บางครั้งกลับปวดลึก บวม แดง หรือเจ็บจนขยับลำบาก แล้วคำถามคือ… นี่คือ “กล้ามเนื้ออักเสบ” หรือแค่ปวดเมื่อยธรรมดากันแน่?

      ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือ “เดี๋ยวก็หายเอง” แต่ความจริงแล้ว อาการกล้ามเนื้ออักเสบ (Muscle Inflammation) อาจเป็นสัญญาณว่า เนื้อเยื่อภายในกำลัง “ร้องขอให้คุณหยุด” ก่อนเกิดการบาดเจ็บที่รุนแรงกว่า

ในทางกายภาพบำบัด “กล้ามเนื้ออักเสบ” หมายถึงการที่เส้นใยกล้ามเนื้อเกิด microtear หรือการฉีกขาดเล็ก ๆ ในระดับจุลภาค ซึ่งเกิดขึ้นได้จาก

  • การออกกำลังกายหนักเกินไป 
  • การใช้ท่าซ้ำ ๆ โดยไม่พัก 
  • การนั่งทำงานในท่าทางที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานาน

      เมื่อเส้นใยเกิดการฉีก ร่างกายจะตอบสนองด้วยกระบวนการอักเสบ (Inflammatory Response)ซึ่งมีทั้งด้านดีและด้านไม่ดี ด้านดีคือการเริ่มซ่อมแซม แต่หากยืดเยื้อหรือเกิดซ้ำบ่อย ๆ อาจนำไปสู่ “กล้ามเนื้ออักเสบเรื้อรัง” ที่รักษายากขึ้นและเสี่ยงต่อการบาดเจ็บซ้ำ

 กล้ามเนื้ออักเสบไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เข้าใจได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์

      ร่างกายของเราเป็นระบบอัจฉริยะ ทุกครั้งที่เกิดการอักเสบ มันคือสัญญาณเตือนให้เรารู้ว่า “ถึงเวลารีเซ็ต”
การพักเฉย ๆ อาจช่วยให้หายปวดชั่วคราว แต่ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ เพราะสาเหตุที่แท้จริงมักเกี่ยวข้องกับ การเคลื่อนไหวไม่สมดุล (Movement Dysfunction) หรือการฝึกที่เกินขีดจำกัดโดยไม่มีช่วงฟื้นฟู

      ดังนั้นแนวทางที่ถูกต้องคือ “เข้าใจกลไกของกล้ามเนื้ออักเสบ” และ “ฟื้นฟูอย่างมีระบบ” โดยอาศัยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เช่นแนวทาง PEACE & LOVE, Therapeutic Exercise, และเครื่องมือเสริมอย่าง Shockwave Therapy (ESWT) ที่ได้รับการยืนยันจากงานวิจัย BJSM และ JOSPT ว่าช่วยเร่งกระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อได้จริง

      ในฐานะนักกายภาพบำบัด เราไม่มองแค่ “กล้ามเนื้อที่เจ็บ” แต่จะมอง “ทั้งระบบการเคลื่อนไหวของร่างกาย (Movement System)” เพื่อหาว่าสาเหตุของการอักเสบมาจากจุดใด อาจเป็นกล้ามเนื้อทำงานชดเชย, ท่าทางผิด, หรือการฝึกที่โหลดมากเกินไป

การฟื้นฟูจึงไม่ใช่แค่การพักหรือประคบเย็น แต่คือการ

  • ประเมินเชิงลึก (Movement Analysis) 
  • ลดอาการอักเสบเฉพาะจุดด้วยเทคนิคทางกายภาพบำบัด 
  • ฟื้นฟูการทำงานของกล้ามเนื้อด้วย Therapeutic Exercise 
  • ปรับท่าทางและการเคลื่อนไหวเพื่อป้องกันการเจ็บซ้ำ

“เป้าหมายของเราคือไม่ใช่แค่ให้หายปวด แต่ให้ร่างกายคุณแข็งแรงกว่าเดิม” กล้ามเนื้ออักเสบอาจดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่หากเข้าใจและดูแลถูกวิธี มันจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ “ร่างกายที่แข็งแรงขึ้นกว่าเดิม” การฟื้นฟูโดยนักกายภาพบำบัดคือการคืนสมดุลให้ระบบกล้ามเนื้อ เพื่อให้คุณกลับมาออกกำลังกายได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ

กล้ามเนื้ออักเสบคืออะไร? เกิดขึ้นได้อย่างไรในร่างกาย

      กล้ามเนื้ออักเสบ (Muscle Inflammation) หมายถึงภาวะที่เส้นใยกล้ามเนื้อเกิดการระคายเคืองหรือฉีกขาดเล็กน้อยในระดับจุลภาค ซึ่งร่างกายตอบสนองต่อความเสียหายนี้ด้วยกระบวนการอักเสบ (Inflammatory Response) เพื่อซ่อมแซมและฟื้นฟูเนื้อเยื่อที่เสียหายให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง

1. กลไกการเกิดการอักเสบของกล้ามเนื้อ (Pathophysiology)

      เมื่อกล้ามเนื้อถูกใช้งานหนักเกินไป เช่น ยกของหนัก ฝึกซ้อมต่อเนื่องโดยไม่พัก หรือใช้ท่าทางซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน จะทำให้เกิด “microtear” หรือการฉีกขาดระดับเล็กมากในเส้นใยกล้ามเนื้อ (muscle fiber)

ร่างกายจะเริ่มกระบวนการอักเสบโดยมีลำดับขั้นตอนดังนี้

  • Phase 1: Inflammation (24–72 ชั่วโมงแรก) เซลล์เม็ดเลือดขาว (Macrophages, Neutrophils) จะเข้าสู่บริเวณที่บาดเจ็บ เพื่อขจัดเศษเซลล์ที่เสียหายและกระตุ้นให้เกิดความร้อน บวม แดง และปวด
  • Phase 2: Repair ร่างกายเริ่มสร้างคอลลาเจนและเส้นใยกล้ามเนื้อใหม่ (Myofibril regeneration) เพื่อแทนที่ส่วนที่ฉีกขาด
  • Phase 3: Remodeling เส้นใยใหม่จะจัดเรียงตัวให้เหมาะสมกับแรงที่ใช้งาน เพื่อให้กลับมาแข็งแรงและยืดหยุ่นเท่าเดิม

หากกระบวนการนี้เกิดซ้ำ ๆ โดยไม่มีช่วงพักหรือการฟื้นฟูที่เหมาะสม การอักเสบอาจกลายเป็น “เรื้อรัง” (Chronic Inflammation) ทำให้กล้ามเนื้อเสียสมดุลและทำงานผิดรูปแบบ

2. สาเหตุที่พบบ่อยของกล้ามเนื้ออักเสบ

  1. การออกกำลังกายเกินขีดจำกัด (Overtraining)

โดยเฉพาะในผู้ที่เพิ่มความหนักหรือจำนวนเซตเร็วเกินไป

  2. การใช้กล้ามเนื้อซ้ำ ๆ (Repetitive Strain)
เช่น พนักงานออฟฟิศที่นั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน หรือใช้เมาส์มือเดิมซ้ำ ๆ

  3. กล้ามเนื้อไม่สมดุล (Muscle Imbalance)
กล้ามเนื้อบางมัดตึงแรงเกินไป ขณะที่อีกมัดอ่อนแรง ส่งผลให้แรงดึงรั้งไม่สมดุล

  4. ท่าทางการทำงานหรือการเล่นกีฬาที่ไม่ถูกหลัก (Poor Biomechanics)
เช่น ท่านั่งหลังค่อม, ท่ายกของหลังงอ, ท่าวิ่ง overstride

  5. ขาดการฟื้นฟู (Recovery Deficit)
พักผ่อนไม่พอ ขาดสารอาหารที่ช่วยซ่อมแซม เช่น โปรตีน และไม่ได้ทำการยืดคลายกล้ามเนื้อหลังออกกำลัง

3. อาการที่สังเกตได้เมื่อกล้ามเนื้ออักเสบ

  • ปวดเฉพาะจุดเวลาขยับหรือกด 
  • กล้ามเนื้อรู้สึกตึงแข็งและมีแรงลดลง 
  • อาจมีบวมแดงหรือร้อนในบริเวณที่อักเสบ 
  • หากเรื้อรังจะมีอาการล้าและปวดแปลบซ้ำ ๆ แม้พักก็ไม่หาย

อาการเหล่านี้ต่างจาก “ปวดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกายทั่วไป (DOMS)” ซึ่งมักหายเองใน 2–3 วัน
แต่ในกรณีของ “กล้ามเนื้ออักเสบจริง” อาการจะอยู่นานกว่า 7 วัน และมีอาการเฉพาะจุดชัดเจน

4. ทำไมบางคนถึงอักเสบง่ายกว่าคนอื่น

      บางคนแม้ออกกำลังกายปริมาณเท่ากันแต่กลับอักเสบง่ายกว่า มักเกิดจากปัจจัยร่วมดังนี้

  • กล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือไม่เคยฝึกมาก่อน 
  • ท่าทางเคลื่อนไหวไม่ถูกต้อง (Movement Fault) 
  • มีพังผืดสะสม (Myofascial Tightness) 
  • ภาวะขาดน้ำหรืออิเล็กโทรไลต์ 
  • อายุที่มากขึ้นทำให้กระบวนการซ่อมแซมช้าลง

กล้ามเนื้ออักเสบไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทั้งนักกีฬา คนออกกำลังกาย หรือพนักงานออฟฟิศ ความเข้าใจกลไกของการอักเสบจะช่วยให้คุณดูแลตัวเองได้ถูกวิธี ไม่ตื่นตระหนก และไม่ปล่อยให้เรื้อรังจนกลายเป็นการบาดเจ็บที่ยากต่อการรักษา การรู้เท่าทันร่างกายคือก้าวแรกของการฟื้นฟูอย่างปลอดภัยและยั่งยืน

แยกให้ออกระหว่าง “ปวดเมื่อยทั่วไป (DOMS)” กับ “กล้ามเนื้ออักเสบจริง”

      หลายคนที่เริ่มออกกำลังกายหรือกลับมาฝึกหนักมักรู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อหลังซ้อม จนสงสัยว่า “นี่เราแค่เมื่อย หรือกำลังกล้ามเนื้ออักเสบ?” ความเข้าใจตรงนี้สำคัญมาก เพราะสองภาวะนี้มีลักษณะต่างกันโดยสิ้นเชิง ทั้งในแง่กลไก สาเหตุ และแนวทางการดูแล

1. ปวดกล้ามเนื้อจากการออกกำลังกายทั่วไป (DOMS)

DOMS (Delayed Onset Muscle Soreness)

 คืออาการปวดตึงกล้ามเนื้อที่มักเกิดหลังออกกำลังกายหนัก โดยเฉพาะหลังทำกิจกรรมที่ร่างกายไม่คุ้นเคย เช่น วิ่งระยะไกล ยกน้ำหนัก หรือปีนเขา

กลไกหลักคือ “microtear” หรือการฉีกขาดเล็กน้อยในเส้นใยกล้ามเนื้อ ซึ่งกระตุ้นการอักเสบชั่วคราว เพื่อซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหาย

ลักษณะของ DOMS ที่สังเกตได้:

  • เริ่มปวดหลังออกกำลังประมาณ 12–24 ชั่วโมง 
  • อาการปวดพีคสุดใน 24–72 ชั่วโมง แล้วค่อย ๆ หายไปภายใน 3–5 วัน 
  • มักรู้สึกตึงเมื่อขยับ แต่ยังเคลื่อนไหวได้ตามปกติ 
  • ไม่มีอาการบวม แดง ร้อน หรือกดเจ็บเฉพาะจุด 
  • การยืดเบา ๆ หรือขยับร่างกายช่วยให้ดีขึ้น

DOMS เป็นกระบวนการปกติของการฟื้นตัว ไม่อันตราย และเป็นสัญญาณว่ากล้ามเนื้อกำลังปรับตัวให้แข็งแรงขึ้น

2. กล้ามเนื้ออักเสบจริง (Muscle Inflammation)

ต่างจาก DOMS ตรงที่ “กล้ามเนื้ออักเสบจริง” มักเกิดจากการใช้งานหนักเกิน หรือได้รับแรงเฉพาะจุดซ้ำ ๆ จนเนื้อเยื่อเกิดการบาดเจ็บที่ลึกกว่าและชัดเจนกว่า

ลักษณะของกล้ามเนื้ออักเสบจริง:

  • ปวดเฉพาะจุดและรุนแรงขึ้นเมื่อใช้งาน 
  • อาจมีอาการ บวม แดง ร้อน หรือคลำเจ็บชัดเจน 
  • ปวดนานเกิน 7 วัน ไม่ดีขึ้นแม้พัก 
  • อาจมีอาการตึงแข็งตอนเช้าหรือหลังพักนาน 
  • หากเรื้อรัง อาจรู้สึกอ่อนแรงในกล้ามเนื้อมัดนั้น ๆ

ตัวอย่างที่พบบ่อย:

  • กล้ามเนื้อบ่าและคออักเสบจากการนั่งทำงานท่าเดิม 
  • กล้ามเนื้อน่องอักเสบจากการวิ่งมากเกินไป 
  • กล้ามเนื้อหลังอักเสบจากการยกของผิดท่า 

อาการเหล่านี้ควรได้รับการประเมินจากนักกายภาพบำบัด เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง เช่น กล้ามเนื้อไม่สมดุล หรือเทคนิคการเคลื่อนไหวที่ผิด

3. ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง DOMS กับ กล้ามเนื้ออักเสบจริง

ลักษณะอาการ

DOMS (ปวดทั่วไป)

กล้ามเนื้ออักเสบจริง

ช่วงเวลาเริ่มปวด

12–24 ชม. หลังออกกำลัง

อาจเกิดทันที หรือภายใน 1–2 วัน

ระยะเวลาของอาการ

หายภายใน 3–5 วัน

นานกว่า 7 วัน หรือเรื้อรัง

ลักษณะการปวด

ปวดตึงทั่วบริเวณ

ปวดเฉพาะจุด แปลบหรือบวม

ความรุนแรง

ปวดระดับเบาถึงปานกลาง

ปวดมากจนรบกวนการเคลื่อนไหว

การเคลื่อนไหว

ยังขยับได้

ขยับบางท่าแล้วเจ็บทันที

อาการร่วม

ไม่มีบวม แดง ร้อน

อาจมีบวม แดง ร้อน หรือกดเจ็บ

แนวทางดูแล

ยืดเบา ๆ เคลื่อนไหวช้า ๆ

ประเมินโดยนักกายภาพ ฟื้นฟูเฉพาะจุด

 

4. ทำไมหลายคนสับสนระหว่างสองภาวะนี้

เพราะทั้งสองอย่างเกิดจาก “การใช้งานกล้ามเนื้อเกินปกติ”
แต่ต่างกันที่ “ระดับความเสียหายของเส้นใย”
การสับสนมักทำให้คนเลือกวิธีดูแลผิด เช่น

  • คิดว่าเป็นแค่เมื่อย เลยนวดแรง ๆ → ทำให้การอักเสบรุนแรงขึ้น 
  • พักนานเกินไป → กล้ามเนื้ออ่อนแรง และเกิดการชดเชยของกล้ามเนื้ออื่น 
  • ใช้ยาลดอักเสบติดต่อกัน → ขัดขวางกระบวนการซ่อมแซมของร่างกาย

5. แนวทางเบื้องต้นในการดูแลที่ถูกต้อง

  • หากอาการปวดไม่เกิน 3–5 วัน → ดูแลด้วยการยืดเบา ๆ และเคลื่อนไหวต่อเนื่อง 
  • หากปวดต่อเนื่อง >7 วัน หรือมีอาการบวมร้อน → ควรเข้ารับการประเมินโดยนักกายภาพ 
  • หลีกเลี่ยงการนวดหรือยืดแรงในช่วงที่มีการอักเสบ 
  • การรักษาควรมุ่งไปที่การ “ฟื้นฟูสมรรถภาพ” มากกว่าการ “พักเฉย ๆ” 

การแยกให้ออกระหว่าง “DOMS” กับ “กล้ามเนื้ออักเสบจริง” คือหัวใจของการดูแลร่างกายอย่างถูกวิธี
เพราะการปวดกล้ามเนื้อบางอย่างอาจเป็นเพียงสัญญาณของการฟื้นตัว แต่บางอย่างอาจเป็นสัญญาณเตือนของการบาดเจ็บที่ต้องได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ

การเข้าใจความแตกต่างนี้ ช่วยให้คุณไม่เพียงแค่ “หายปวด” แต่ยัง “ป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ” และกลับมาออกกำลังกายได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง

แนวทางฟื้นฟูและรักษา “กล้ามเนื้ออักเสบ” อย่างถูกวิธี

      เมื่อเกิดภาวะกล้ามเนื้ออักเสบ หลายคนมักเลือก “พักเฉย ๆ” หรือ “นวดคลาย” แต่ในทางกายภาพบำบัด เรามองว่าการฟื้นฟูที่ได้ผลต้องมี “ระบบ” และ “หลักการทางวิทยาศาสตร์” รองรับโดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนสำคัญคือ การดูแลระยะเฉียบพลัน, การฟื้นฟูสมรรถภาพ, และ การปรับสมดุลการเคลื่อนไหว

1. การดูแลระยะเฉียบพลัน (Acute Phase): ใช้หลัก PEACE & LOVE

แนวทางใหม่จาก BJSM (2020) แนะนำให้ใช้ หลัก PEACE & LOVE แทนการใช้ RICE แบบเดิม
เพราะการฟื้นฟูกล้ามเนื้อไม่ควรหยุดที่การลดปวด แต่ต้องกระตุ้นให้เนื้อเยื่อฟื้นตัวอย่างมีคุณภาพ

PEACE — สำหรับช่วง 1–3 วันแรกหลังอักเสบ

  • P: Protect – หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เพิ่มอาการปวด 
  • E: Elevate – ยกส่วนที่บาดเจ็บให้อยู่สูงกว่าระดับหัวใจเพื่อลดบวม 
  • A: Avoid anti-inflammatory – หลีกเลี่ยงยากลุ่ม NSAIDs เพราะอาจยับยั้งกระบวนการซ่อมแซมตามธรรมชาติ 
  • C: Compression – ใช้ผ้ายืดพันเพื่อลดอาการบวมและกระตุ้นการไหลเวียน 
  • E: Education – ให้ความรู้คนไข้เข้าใจว่าอาการอักเสบเป็นกระบวนการที่ร่างกายใช้ซ่อมแซมตัวเอง 

LOVE — สำหรับระยะฟื้นฟู (หลังวันที่ 3 เป็นต้นไป)

  • L: Load – ค่อย ๆ กลับมาใช้งานหรือออกกำลังเบา ๆ เพื่อกระตุ้นการเรียงตัวของเส้นใยใหม่ 
  • O: Optimism – ทัศนคติเชิงบวกช่วยให้ระบบประสาทลดการรับรู้ความเจ็บปวด 
  • V: Vascularisation – เพิ่มการไหลเวียนเลือดด้วยกิจกรรมเบา ๆ เช่น เดิน ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยานช้า ๆ 
  • E: Exercise – เริ่มโปรแกรมการออกกำลังกายฟื้นฟู (Therapeutic Exercise) ภายใต้การดูแลของนักกายภาพ 

แนวทางนี้ย้ำว่า “การพักไม่ใช่ทางออกเสมอไป” แต่ต้องรู้จักขยับอย่างถูกวิธีเพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้น

2. กายภาพบำบัดกล้ามเนื้ออักเสบ (Physiotherapy Management)

นักกายภาพจะประเมินตำแหน่ง ความรุนแรง และรูปแบบของการอักเสบ เพื่อเลือกเทคนิคที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยใช้หลัก Reduce Pain – Restore Function – Prevent Recurrence

เทคนิคที่ใช้บ่อยใน Move On Clinic ได้แก่:

2.1 Manual Therapy

การนวดกดจุดเฉพาะทาง, Myofascial Release, หรือ Joint Mobilization

  • ช่วยลดแรงตึงของพังผืดและเพิ่มการไหลเวียน 
  • ฟื้นฟูความยืดหยุ่นและการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่อักเสบ

2.2 Shockwave Therapy (ESWT)

เทคโนโลยีที่ใช้คลื่นกระแทกพลังงานสูงกระตุ้นการซ่อมแซมเซลล์

  • เพิ่มการสร้างคอลลาเจนและเส้นเลือดใหม่ (Neovascularization) 
  • ลดอาการปวดและเร่งการฟื้นฟูในเคสเรื้อรัง 
  • มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จาก BJSM 2025 Delphi Consensus ว่าช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อเอ็นและกล้ามเนื้อที่อักเสบได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2.3 Therapeutic Exercise

เป็นการออกกำลังกายเพื่อการบำบัด (ไม่ใช่การออกกำลังทั่วไป)

  • ออกแบบเฉพาะบุคคลตามระดับการอักเสบและจุดอ่อนของกล้ามเนื้อ 
  • เริ่มจาก Isometric (เกร็งนิ่ง) → Concentric (หดตัวปกติ) → Eccentric (ยืดตัวต้านแรง) 
  • เพิ่มความแข็งแรงและปรับการทำงานของระบบประสาท–กล้ามเนื้อให้กลับมาสมดุล 

ตัวอย่าง:

  • กล้ามเนื้อคอ–บ่าอักเสบ → ฝึก Shoulder Retraction, Chin Tuck 
  • กล้ามเนื้อน่องอักเสบ → ฝึก Heel Raise ช้า ๆ 
  • กล้ามเนื้อหลังส่วนล่างอักเสบ → ฝึก Pelvic Tilt, Bird-Dog 

Therapeutic Exercise ไม่ได้มีเป้าหมายให้เหนื่อย แต่เพื่อ “สอนให้กล้ามเนื้อกลับมาทำงานอย่างถูกต้อง”

3. การฟื้นฟูระยะยาวและป้องกันการอักเสบซ้ำ

หลังอาการดีขึ้น นักกายภาพจะประเมินระบบการเคลื่อนไหวทั้งหมด (Movement System) เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของการอักเสบ เช่น ความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อหรือท่าทางที่ผิดซ้ำ ๆ

แนวทางในระยะนี้ประกอบด้วย:

  • Movement Re-education: ฝึกให้กล้ามเนื้อแต่ละมัดทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น 
  • Core Stability Training: เสริมความมั่นคงของแกนกลางลำตัวเพื่อป้องกันแรงชดเชย 
  • Postural Correction: ปรับท่าทางในชีวิตประจำวัน เช่น การนั่ง การยืน การยกของ 
  • Load Management: วางแผนเพิ่มความหนักของการฝึกอย่างค่อยเป็นค่อยไป (ไม่เกิน 10% ต่อสัปดาห์)

4. ข้อควรระวังในการดูแลกล้ามเนื้ออักเสบ

  • หลีกเลี่ยงการนวดแรงในช่วงอักเสบเฉียบพลัน 
  • ห้ามใช้ความร้อนทันทีหลังบาดเจ็บ (เพราะเพิ่มการอักเสบ) 
  • อย่าใช้ยาแก้อักเสบติดต่อกันโดยไม่จำเป็น 
  • หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 7 วัน หรือปวดมากขึ้นเมื่อขยับ ควรเข้ารับการประเมินโดยนักกายภาพบำบัด 

กล้ามเนื้ออักเสบไม่จำเป็นต้องปล่อยให้หายเอง เพราะการพักอย่างเดียวอาจทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและเสี่ยงบาดเจ็บซ้ำ การฟื้นฟูที่ถูกต้องคือการผสมผสาน การดูแลเฉียบพลัน + กายภาพบำบัด + Therapeutic Exercise ภายใต้การประเมินอย่างมืออาชีพ “หายไว แข็งแรง ปลอดภัย” เกิดขึ้นได้เมื่อเข้าใจกลไกของร่างกายและฟื้นฟูอย่างถูกหลัก

ทำไมควรให้ “นักกายภาพบำบัด” เป็นผู้ประเมินและวางแผนฟื้นฟูกล้ามเนื้ออักเสบ

      การฟื้นฟูกล้ามเนื้ออักเสบไม่ใช่แค่ “ทำให้หายปวด” แต่คือการ “แก้ต้นเหตุของความเจ็บปวด” เพื่อให้ร่างกายกลับมาใช้งานได้อย่างสมดุลและไม่เกิดซ้ำอีก ซึ่งกระบวนการนี้ต้องอาศัย ความเข้าใจในกลไกของร่างกาย (Biomechanics) และ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ (Evidence-based Practice) สองสิ่งที่เป็นหัวใจของการทำงานของนักกายภาพบำบัด

1. นักกายภาพเข้าใจระบบการเคลื่อนไหวทั้งร่างกาย (Movement System Approach)

อาการปวดจากกล้ามเนื้ออักเสบไม่ได้เกิดแค่ที่จุดเจ็บเท่านั้น แต่เกิดจาก “การทำงานผิดสมดุลของระบบกล้ามเนื้อ–ข้อต่อ–เส้นประสาท” ทั้งหมด นักกายภาพจะใช้หลัก Movement Analysis เพื่อค้นหาว่าต้นตออยู่ที่ใด เช่น

  • เจ็บต้นคอ แต่สาเหตุจริงมาจากกล้ามเนื้อสะบักที่อ่อนแรง 
  • เจ็บน่อง แต่ปัญหาเริ่มจากกล้ามเนื้อสะโพกทำงานไม่เต็มที่ 
  • เจ็บหลัง แต่เกิดจากท่าทางการนั่งทำงานผิดซ้ำ ๆ 

ดังนั้น นักกายภาพจะไม่ได้รักษาเฉพาะจุดที่เจ็บ แต่จะวิเคราะห์ “เส้นทางแรง” (Kinetic Chain) ทั้งหมด เพื่อให้ร่างกายกลับมาทำงานอย่างถูกต้อง

2. สามารถวินิจฉัยแยกโรคได้อย่างแม่นยำ (Clinical Assessment)

อาการ “กล้ามเนื้ออักเสบ” หลายครั้งอาจมีอาการคล้ายกับโรคอื่น เช่น

  • เส้นเอ็นอักเสบ (Tendinopathy) 
  • เส้นประสาทถูกกดทับ (Nerve Entrapment) 
  • ภาวะข้อต่ออักเสบ (Joint Irritation) 

นักกายภาพบำบัดจะใช้การตรวจเฉพาะทาง เช่น

  • Palpation Test: ตรวจหาจุดเจ็บเฉพาะกล้ามเนื้อ 
  • Range of Motion (ROM): ประเมินองศาการเคลื่อนไหวที่ลดลง 
  • Manual Muscle Test: วัดแรงและสมดุลกล้ามเนื้อ 
  • Functional Test: ทดสอบการใช้งานจริงในท่าทางที่ก่ออาการ 

ผลการประเมินเหล่านี้ช่วยให้การรักษาเป็น “เฉพาะจุดและปลอดภัย” ไม่เสี่ยงต่อการกระตุ้นอาการอักเสบให้รุนแรงขึ้น

3. วางแผนฟื้นฟูตามหลักวิทยาศาสตร์ (Evidence-based Rehabilitation)

นักกายภาพจะออกแบบโปรแกรมฟื้นฟูตามหลักฐานทางวิชาการที่ได้รับการรับรองจากสถาบันชั้นนำ เช่น BJSM, JOSPT, APTA โดยใช้แนวทาง Phase-based Rehab ดังนี้

  • ระยะลดปวดและอักเสบ → ใช้ Shockwave, Cold therapy, Manual therapy 
  • ระยะฟื้นฟูสมรรถภาพ → ใช้ Therapeutic Exercise เพื่อปรับการทำงานของกล้ามเนื้อ 
  • ระยะป้องกันซ้ำ → ปรับท่าทางและการฝึกให้เหมาะสมกับชีวิตประจำวันหรือกีฬา 

โปรแกรมที่นักกายภาพออกแบบ จะไม่ใช่ “โปรแกรมสำเร็จรูป” แต่ปรับเฉพาะบุคคลตามระดับความเจ็บ ความแข็งแรง และเป้าหมายของผู้ป่วยแต่ละคน

เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้การฟื้นฟูแม่นยำและปลอดภัยมากกว่าการรักษาแบบทั่วไป

4. ลดโอกาสการบาดเจ็บซ้ำ และสร้างความมั่นใจในการกลับไปใช้งาน

สิ่งที่นักกายภาพบำบัดให้ได้ไม่ใช่แค่การ “รักษาให้หาย” แต่คือการ “สร้างความมั่นใจให้กลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างเต็มที่อีกครั้ง”
หลังฟื้นฟูเสร็จ นักกายภาพจะตรวจซ้ำด้วย Functional Test เช่น

  • การทดสอบแรงกล้ามเนื้อเทียบข้าง 
  • การทดสอบความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อ 
  • การทดสอบการควบคุมการเคลื่อนไหว (Motor Control) 

ผลที่ได้ไม่เพียงทำให้ผู้ป่วยหายดี แต่ยังป้องกันการบาดเจ็บซ้ำในอนาคต

5. แตกต่างจากการนวดหรือการพักเฉย ๆ อย่างไร

ประเภทการดูแล

เป้าหมาย

ผลระยะยาว

การนวดทั่วไป

คลายกล้ามเนื้อเฉพาะจุด ลดปวดชั่วคราว

ไม่แก้สาเหตุ อาจกลับมาเจ็บซ้ำ

การพักเฉย ๆ

ลดการใช้งาน ลดการอักเสบเบื้องต้น

กล้ามเนื้ออ่อนแรง เสี่ยงชดเชย

กายภาพบำบัดโดยผู้เชี่ยวชาญ

วิเคราะห์ต้นเหตุ ฟื้นฟูสมดุลทั้งระบบ

หายขาด แข็งแรง ป้องกันซ้ำได้

 

“การฟื้นฟูที่ดีไม่ใช่การหยุดเคลื่อนไหว แต่คือการเรียนรู้วิธีเคลื่อนไหวใหม่อย่างถูกต้อง”

การประเมินและวางแผนฟื้นฟูโดยนักกายภาพบำบัด
คือกระบวนการที่ช่วยให้การรักษากล้ามเนื้ออักเสบมีความปลอดภัย มีเหตุผล และเห็นผลจริง
เพราะไม่ใช่แค่ลดปวดในวันนี้ แต่คือการสร้างร่างกายให้พร้อมสำหรับวันต่อไป

การป้องกันกล้ามเนื้ออักเสบ สร้างร่างกายให้พร้อมก่อนบาดเจ็บ

      กล้ามเนื้ออักเสบมักไม่ได้เกิดจาก “เหตุการณ์เดียว” แต่เกิดจาก “การสะสมของแรงผิดปกติ” ที่ร่างกายรับไว้ซ้ำ ๆ
การป้องกันจึงไม่ใช่การหลีกเลี่ยงการใช้งาน แต่คือการเตรียมร่างกายให้พร้อมรับแรงได้อย่างสมดุล
นั่นคือแนวคิดหลักของ “Prehabilitation” หรือ Prehab การฝึกเพื่อป้องกันการบาดเจ็บก่อนจะเกิดขึ้น

1. ฝึกให้ร่างกายแข็งแรงแบบสมดุล (Balanced Strength Training)

กล้ามเนื้อที่แข็งแรงไม่เท่ากันคือหนึ่งในสาเหตุหลักของการอักเสบ
เช่น กล้ามเนื้อหน้าแขนแข็งแรงเกินหลังแขน, กล้ามเนื้อ Quadriceps แข็งแรงกว่า Hamstrings, หรือกล้ามเนื้อหน้าอกดึงไหล่มากเกินจนหลังตึง

แนวทางฝึกที่นักกายภาพแนะนำ:

  • เสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่มักถูกละเลย เช่น สะบัก, Core, กล้ามเนื้อหลังต้นขา 
  • ใช้ Therapeutic Exercise ที่เน้นการควบคุมและความรู้สึกของการเคลื่อนไหว ไม่ใช่แค่การยกน้ำหนัก 
  • ฝึกทั้ง Concentric (หดตัว) และ Eccentric (ยืดตัวต้านแรง) เพื่อให้เส้นใยกล้ามเนื้อทนต่อแรงดึงได้ดีขึ้น

ตัวอย่าง:

  • นักวิ่ง → ฝึกกล้ามเนื้อสะโพก (Glute medius, Glute max) เพื่อป้องกันการบาดเจ็บเข่า 
  • คนทำงานออฟฟิศ → ฝึกเปิดอก (Chest Opener) และเกร็งสะบัก เพื่อป้องกันบ่า–คออักเสบ

2. ฟื้นฟูความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและพังผืด (Flexibility & Fascia Release)

กล้ามเนื้อที่ตึงแข็งไม่ยืดหยุ่น จะรับแรงได้จำกัดและเกิดการฉีกขาดได้ง่าย
นักกายภาพจึงเน้นการ “ยืดอย่างมีทิศทาง” ไม่ใช่ยืดแบบเดิม ๆ

แนวทางที่แนะนำ:

  • ยืดกล้ามเนื้อหลังการใช้งาน 10–15 นาที โดยเน้นจังหวะค้าง 20–30 วินาที 
  • ใช้โฟมโรล (Foam Roller) เพื่อคลายพังผืด (Myofascial Release) 
  • ยืดตามแนวเส้นพังผืด (Fascial Lines) เช่น Superficial Back Line หรือ Spiral Line

การยืดและคลายพังผืดอย่างสม่ำเสมอช่วยลดแรงดึงที่ไม่สมดุลและลดความเสี่ยงของการอักเสบเรื้อรังได้อย่างมาก

3. ฝึกการควบคุมการเคลื่อนไหว (Motor Control Training)

กล้ามเนื้ออักเสบหลายเคสไม่ได้เกิดจากแรงมากเกิน แต่เกิดจาก “การใช้แรงผิดจังหวะ”
นักกายภาพจึงมักใช้เทคนิค Movement Re-education เพื่อสอนให้ผู้ป่วยรู้จักควบคุมการเคลื่อนไหวใหม่

ตัวอย่างเช่น

  • ฝึกให้ใช้กล้ามเนื้อสะโพกในการยกของ แทนการงอหลัง 
  • ฝึก Core Stability เพื่อให้กระดูกสันหลังมั่นคงในทุกท่าทาง 
  • ฝึกการหายใจร่วมกับการเคลื่อนไหว (Breathing–Movement Integration) เพื่อให้กล้ามเนื้อทำงานสอดประสาน

เมื่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อสื่อสารกันได้ดี ร่างกายจะลดโอกาสการอักเสบจากการใช้งานผิดแบบได้อย่างชัดเจน

4. วางแผนการฝึกและพักอย่างเหมาะสม (Load Management)

หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้กล้ามเนื้ออักเสบเกิดซ้ำคือการฝึกหนักเกินโดยไม่ให้ร่างกายมีเวลาฟื้นตัว
หลักการง่าย ๆ ที่นักกายภาพใช้คือ “10% Rule”

อย่าเพิ่มความหนักหรือระยะเวลาการฝึกเกิน 10% ต่อสัปดาห์

แนวทางปฏิบัติ:

  • สลับวันหนัก–วันเบา (Hard–Easy Pattern) 
  • ใช้ Recovery Tools เช่น การยืด, แผ่นร้อน, หรือ Shockwave หลังซ้อมหนัก 
  • สังเกตสัญญาณเตือนจากร่างกาย เช่น ปวดเฉพาะจุด ตึงผิดปกติ หรือหลับไม่สนิท

5. ปรับท่าทางและสภาพแวดล้อมในการทำงาน (Ergonomic Correction)

สำหรับคนทำงานออฟฟิศหรือใช้คอมพิวเตอร์นาน ๆ การจัดท่าทางมีผลโดยตรงต่อการอักเสบของกล้ามเนื้อ
นักกายภาพแนะนำให้:

  • ปรับจอคอมให้ระดับสายตา 
  • ปรับเก้าอี้ให้รองรับส่วนหลังส่วนล่าง (Lumbar Support) 
  • ลุกยืดทุก 45–60 นาที 
  • ฝึกท่านั่งที่ “หลังตรงแต่ไม่เกร็ง”

ท่าทางที่ดีช่วยลดแรงกดและแรงตึงในกล้ามเนื้อมัดเล็ก ๆ ที่มักอักเสบเรื้อรัง เช่น คอ บ่า และสะบัก

6. ตรวจเช็กระบบการเคลื่อนไหวกับนักกายภาพเป็นระยะ (Movement Screening)

การเข้ารับการประเมินกับนักกายภาพปีละ 1–2 ครั้ง ช่วยให้สามารถตรวจพบความเสี่ยงของการอักเสบก่อนเกิดอาการจริง เช่น

  • การเคลื่อนไหวที่ไม่สมดุล 
  • กล้ามเนื้อบางมัดทำงานมากเกินไป 
  • ข้อต่อบางส่วนติดหรือจำกัดการเคลื่อนไหว

นี่คือการดูแลเชิงรุกที่ใช้กันในนักกีฬาอาชีพ — เพราะ “ยิ่งรู้ก่อน ยิ่งป้องกันได้เร็ว”

กล้ามเนื้ออักเสบไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลจากการที่ร่างกายไม่พร้อมรับแรง ดังนั้น การป้องกันที่แท้จริงคือ การสร้างสมดุลของแรง – ความแข็งแรง – และการเคลื่อนไหวที่ถูกต้อง ซึ่งทั้งหมดนี้คือหน้าที่ของการฝึกแบบมีระบบภายใต้แนวคิดของนักกายภาพบำบัด

“ร่างกายที่แข็งแรงที่สุด ไม่ใช่ร่างกายที่ไม่เคยบาดเจ็บ แต่คือร่างกายที่รู้จักป้องกันตัวเองก่อนจะบาดเจ็บ”

จากอาการอักเสบสู่การกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง

      กล้ามเนื้ออักเสบไม่ใช่จุดจบของการออกกำลังกาย แต่คือ “สัญญาณเตือน” ว่าร่างกายกำลังขอให้เราฟังมันให้มากขึ้นเมื่อเข้าใจว่าความปวดคือกลไกการซ่อมแซม ไม่ใช่ศัตรู เราจะเริ่มมองอาการบาดเจ็บในมุมที่ต่างออกไป

สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่ “พักให้หาย” แต่คือ “ฟื้นฟูให้กลับมาแข็งแรงกว่าเดิม” การฟื้นฟูอย่างมีระบบภายใต้การดูแลของนักกายภาพบำบัด จะช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมได้ถูกทิศทาง ฟื้นฟูแรง สมดุล และการควบคุมการเคลื่อนไหวไม่เพียงหายจากอาการอักเสบ แต่ยังช่วยลดโอกาสการบาดเจ็บซ้ำในอนาคต

1. จาก “ปวด” → สู่ “เข้าใจ”

เริ่มจากการแยกให้ออกว่าอาการที่รู้สึกคือ ปวดจาก DOMS หรือ การอักเสบจริง ความเข้าใจนี้คือก้าวแรกของการรักษาที่ถูกต้อง ไม่รีบร้อน ไม่ตื่นตระหนก และไม่ปล่อยปละละเลย

2. จาก “พักเฉย ๆ” → สู่ “ฟื้นฟูอย่างมีระบบ”

ร่างกายที่อักเสบไม่ได้ต้องการแค่การหยุด แต่ต้องการ “การฟื้นฟูอย่างชาญฉลาด” แนวทาง PEACE & LOVE คือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์แล้วว่า การเคลื่อนไหวอย่างถูกวิธีภายใต้การดูแลของนักกายภาพ จะช่วยให้เนื้อเยื่อฟื้นตัวเร็วและแข็งแรงขึ้น

3. จาก “รักษาเฉพาะจุด” → สู่ “เข้าใจทั้งระบบ”

กล้ามเนื้อที่อักเสบมักเป็นเพียงปลายเหตุของความไม่สมดุล นักกายภาพจึงไม่เพียงดูแลบริเวณที่ปวด แต่ยังประเมินทั้งระบบการเคลื่อนไหว (Movement Chain) เพื่อให้กล้ามเนื้อทุกมัดทำงานสอดประสานและรับแรงได้อย่างเหมาะสม

4. จาก “ปัญหาเดิมซ้ำ ๆ” → สู่ “ร่างกายที่ยืดหยุ่นและมั่นคง”

เมื่อผ่านการฟื้นฟูอย่างถูกวิธี ผู้ป่วยจำนวนมากมักบอกว่า “รู้สึกแข็งแรงและมั่นใจในการเคลื่อนไหวมากกว่าเดิม” เพราะกล้ามเนื้อไม่ได้แค่หายอักเสบ แต่ได้ถูกฝึกให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือจุดที่ “การรักษา” เปลี่ยนเป็น “การพัฒนา”

“ทุกอาการเจ็บคือข้อมูล ไม่ใช่ความล้มเหลว” ถ้าเราฟังร่างกายให้ถูก เข้าใจสาเหตุ และฟื้นฟูอย่างถูกหลัก กล้ามเนื้ออักเสบก็จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาร่างกายให้แข็งแรง ยืดหยุ่น และสมดุลยิ่งขึ้น

Move On Clinic พร้อมช่วยให้คุณ “ฟื้นฟูได้มากกว่าการหายปวด”

เรามุ่งเน้นการดูแลที่เข้าใจทั้งระบบ เพื่อให้คุณกลับไปเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นใจ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักกีฬา หรือคนธรรมดาที่อยากใช้ชีวิตอย่างไม่ต้องกลัวอาการเจ็บซ้ำ

การเริ่มต้นฟื้นฟูอย่างถูกหลักในวันนี้ คือการลงทุนเพื่อสุขภาพระยะยาวของคุณเองครับ