เมื่อกล้ามเนื้อได้รับแรงกระแทกจากการชน ปะทะ หรือล้ม เช่น ในกีฬาฟุตบอล บาสเกตบอล หรืออุบัติเหตุในชีวิตประจำวัน ร่างกายมักแสดงอาการ ปวด บวม และฟกช้ำ ซึ่งหลายคนอาจคิดว่า “พักเดี๋ยวก็หาย” แต่ความจริงแล้ว การกระแทกที่ดูเหมือนเล็กน้อย อาจทำให้เกิดการ ฉีกขาดของเส้นใยกล้ามเนื้อระดับลึก (Microtear) หรือมี เลือดคั่งภายในเนื้อเยื่อ (Intramuscular Hematoma) ได้ โดยเฉพาะถ้าได้รับแรงกระแทกอย่างจังหรือซ้ำในบริเวณเดิม

      ภาวะนี้ในทางการแพทย์เรียกว่า Muscle Contusion หรือ กล้ามเนื้ออักเสบจากแรงกระแทก
ซึ่งถือเป็นหนึ่งในอาการบาดเจ็บที่พบบ่อยในนักกีฬา โดยเฉพาะชนิดที่มีการปะทะ (Contact Sport) เช่น ฟุตบอล รักบี้ บาสเกตบอล หรือมวย และหากไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้องตั้งแต่แรก อาจนำไปสู่ภาวะเรื้อรัง เช่น

  • พังผืดในกล้ามเนื้อ (Myofascial Adhesion) 
  • กล้ามเนื้อแข็งตัวผิดปกติ (Myositis Ossificans) จากการซ่อมแซมผิดกระบวนการ

แรงกระแทก: ศัตรูเงียบของเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ

      แรงกระแทกที่กระทบต่อกล้ามเนื้ออาจดูไม่รุนแรงจากภายนอก แต่ในระดับจุลภาค (Microscopic Level) เส้นใยกล้ามเนื้อจะเกิดการฉีกขาดเล็ก ๆ พร้อมกับมีเลือดออกในเนื้อเยื่อ ส่งผลให้เกิด

  • การอักเสบเฉียบพลัน (Acute Inflammation) 
  • การบวมและความดันในเนื้อเยื่อเพิ่มขึ้น 
  • ความตึงและการเคลื่อนไหวลดลง

กล้ามเนื้อที่ถูกกระแทกบ่อยจะสูญเสีย “สมดุลแรง” (Force Balance) และ “ความยืดหยุ่น” ทำให้เกิดการบาดเจ็บซ้ำง่ายขึ้น ดังนั้น การเข้าใจกลไกการบาดเจ็บตั้งแต่ต้นจึงสำคัญมากในการวางแผนฟื้นฟู

เข้าใจผิดที่พบบ่อย: “นวด” หรือ “ประคบร้อนทันที”

      หนึ่งในความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือ เมื่อเกิดรอยฟกช้ำจากการกระแทก หลายคนจะรีบ นวดหรือประคบร้อน
แต่จริง ๆ แล้ว การกระทำเหล่านี้อาจ เพิ่มการไหลเวียนเลือดและทำให้เลือดคั่งมากขึ้นในชั้นกล้ามเนื้อ ผลที่ตามมาคืออาการบวมเพิ่มขึ้น ฟื้นตัวช้า และเสี่ยงต่อการเกิดพังผืดภายใน

      แนวทางที่ถูกต้องในช่วง 48–72 ชั่วโมงแรกคือ ประคบเย็น (Cold Therapy) และ พักเพื่อลดแรงกระแทกซ้ำ (Protection)
ตามหลักของ PEACE & LOVE Protocol ซึ่งเป็นแนวทางการดูแลอาการบาดเจ็บเฉียบพลันที่ได้รับการยืนยันโดยงานวิจัยจาก British Journal of Sports Medicine (BJSM)

มองให้ลึกกว่า “ฟกช้ำภายนอก”

      สิ่งสำคัญที่ควรรู้คือ กล้ามเนื้ออักเสบจากการกระแทกไม่ได้จำกัดแค่ “สีม่วงช้ำที่เห็นจากภายนอก” แต่ในหลายกรณี การบาดเจ็บเกิดขึ้นลึกภายในเนื้อเยื่อ ซึ่งมีโอกาสเกิด Intramuscular Hematoma หรือ เลือดคั่งภายในกล้ามเนื้อ หากเลือดไม่สลายตามปกติ อาจกลายเป็นพังผืดหรือก้อนแข็งที่จำกัดการเคลื่อนไหว

นักกายภาพบำบัดจึงมักทำการประเมินด้วยการ

  • คลำหาจุดเจ็บ (Palpation) 
  • ตรวจช่วงการเคลื่อนไหว (ROM Test) 
  • ประเมินระดับความปวด (Pain Scale)
    เพื่อแยกระหว่างอาการฟกช้ำทั่วไปกับการบาดเจ็บเชิงลึกที่ต้องได้รับการฟื้นฟูเฉพาะทาง

จากความเข้าใจ → สู่การฟื้นฟูที่ถูกวิธี

การรักษาอาการกล้ามเนื้ออักเสบจากแรงกระแทกให้ได้ผลดี ต้องเริ่มจากการประเมินที่ถูกต้อง ตามด้วยการฟื้นฟูตามลำดับขั้นตอน ได้แก่

  • ลดการอักเสบและบวม (Inflammation Control) 
  • ฟื้นการเคลื่อนไหว (Mobility Restoration) 
  • เสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Strength Recovery) 
  • ป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ (Injury Prevention)

นักกายภาพบำบัดจะเป็นผู้ดูแลทุกขั้นตอน โดยใช้เทคนิคที่เหมาะสมกับระยะอาการ เช่น
Shockwave Therapy, Ultrasound, Manual Therapy และ Exercise Therapy เพื่อให้ร่างกายกลับมา

กล้ามเนื้ออักเสบจากการกระแทกคืออะไร (What is Muscle Contusion?)

      กล้ามเนื้ออักเสบจากการกระแทก (Muscle Contusion) คือภาวะที่กล้ามเนื้อได้รับแรงกระแทกโดยตรงจากภายนอก เช่น การชน การล้ม หรือถูกของแข็งปะทะ จนทำให้เส้นเลือดฝอยและเส้นใยกล้ามเนื้อในบริเวณนั้น ฉีกขาดบางส่วน (Microtear) เกิดการรั่วของเลือดออกในเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ ทำให้ บวม เจ็บ และเกิดรอยฟกช้ำ (Bruise) ที่มักเห็นได้จากภายนอก

     อาการนี้ต่างจาก “กล้ามเนื้อฉีกจากการใช้งานเกิน (Muscle Strain)” เพราะไม่ได้เกิดจากแรงดึงของกล้ามเนื้อ แต่เกิดจากแรง กระแทก (Compression Force) ที่มากระทบจากภายนอกโดยตรง

กลไกของการเกิด Muscle Contusion

เมื่อเกิดแรงกระแทก กล้ามเนื้อที่ถูกบีบอัดจะเกิดกระบวนการดังนี้

  1. เส้นเลือดฝอย (Capillaries) ฉีกขาด → มีเลือดรั่วออกมาภายในเนื้อเยื่อ 
  2. เกิดเลือดคั่ง (Hematoma) → กดเบียดเส้นใยกล้ามเนื้อรอบ ๆ 
  3. กระตุ้นกระบวนการอักเสบ (Inflammatory Response) → เกิดบวม ปวด ร้อน 
  4. เส้นใยกล้ามเนื้อบางส่วนเสียหาย (Microdamage) → ร่างกายเริ่มซ่อมแซมด้วยพังผืดชั่วคราว (Scar Tissue)

ถ้าการซ่อมแซมไม่สมบูรณ์ หรือได้รับแรงกระแทกซ้ำในช่วงฟื้นฟู พังผืดที่เกิดขึ้นอาจกลายเป็นจุดแข็ง (Adhesion) ที่จำกัดการยืดตัวของกล้ามเนื้อในระยะยาว

ประเภทของกล้ามเนื้ออักเสบจากการกระแทก (Types of Muscle Contusion)

ตามแนวทางจาก Journal of Orthopaedic & Sports Physical Therapy (JOSPT)
สามารถแบ่งกล้ามเนื้ออักเสบจากแรงกระแทกออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่

  1. Intermuscular Contusion (เลือดคั่งนอกเนื่อเยื่อ) 
    • เกิดจากการที่เลือดรั่วออกและซึมออกนอกชั้นพังผืดของกล้ามเนื้อ 
    • มักเห็นรอยฟกช้ำชัดเจน ผิวหนังมีสีม่วงคล้ำ 
    • การบวมลดลงเร็ว เพราะเลือดกระจายออกภายนอก 
    • มักฟื้นตัวได้เร็วกว่า (ประมาณ 7–10 วัน) 
  2. Intramuscular Contusion (เลือดคั่งในเนื้อเยื่อ) 
    • เลือดออกภายในเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ แต่ถูกพังผืดห่อไว้ ไม่สามารถระบายออกได้ 
    • ทำให้เกิดแรงดันในเนื้อเยื่อ (Intramuscular Pressure) สูง 
    • ผู้ป่วยมักรู้สึก “แน่นลึก” และปวดมากแม้ไม่ขยับ 
    • ฟื้นตัวช้ากว่า และมีความเสี่ยงเกิดภาวะ “กล้ามเนื้อแข็งตัวผิดปกติ (Myositis Ossificans)”

ระดับความรุนแรงของอาการ (Grades of Muscle Contusion)

ระดับ

ลักษณะการบาดเจ็บ

อาการหลัก

ระยะเวลาฟื้นฟูโดยเฉลี่ย

      Grade I (เล็กน้อย)       ฉีกขาดน้อยกว่า 10% ของเส้นใย       ปวดเล็กน้อย เคลื่อนไหวได้ปกติ             3–7 วัน
      Grade II (ปานกลาง)       ฉีกขาด 10–50% ของเส้นใย       บวม เหยียดกล้ามเนื้อแล้วเจ็บ             1–3 สัปดาห์
      Grade III (รุนแรง)       ฉีกขาดมากกว่า 50% หรือเต็มมัด       ปวดมาก เคลื่อนไหวไม่ได้             3–6 สัปดาห์ หรือมากกว่า

(อ้างอิงจากแนวทาง American Physical Therapy Association, 2022)

บริเวณที่พบบ่อยในนักกีฬา

  • ต้นขาด้านหน้า (Quadriceps) – เช่น การปะทะในฟุตบอล 
  • ต้นขาด้านหลัง (Hamstrings) – จากแรงกระแทกในการล้ม 
  • กล้ามเนื้อแขนและไหล่ (Deltoid, Biceps) – จากการชนหรือโดนกระแทกขณะรับแรง 
  • กล้ามเนื้อหลัง (Paraspinal Muscle) – จากแรงกระแทกตรงกลางหลังขณะล้ม

สัญญาณที่ควรไปพบแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดทันที

  • ปวดลึกแม้พักเฉย ๆ 
  • บวมแข็งเป็นก้อน 
  • เคลื่อนไหวข้อต่อใกล้เคียงไม่ได้ 
  • รู้สึกอ่อนแรง หรือมีอาการชา 
  • อาการไม่ดีขึ้นภายใน 5–7 วัน

ในกรณีเหล่านี้ นักกายภาพบำบัดจะใช้การตรวจเฉพาะ เช่น Palpation, ROM Test, Strength Test เพื่อประเมินระดับการบาดเจ็บและเลือดคั่งภายใน ก่อนเริ่มการฟื้นฟูอย่างปลอดภัย

“กล้ามเนื้ออักเสบจากการกระแทก” คือการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อภายในจากแรงอัด ไม่ใช่เพียงรอยช้ำที่ผิวหนัง ความเข้าใจที่ถูกต้องตั้งแต่แรกจะช่วยป้องกันการรักษาผิดวิธี เช่น การนวดเร็วเกินไป หรือการกลับไปใช้งานก่อนฟื้นเต็มที่ ซึ่งอาจนำไปสู่การบาดเจ็บซ้ำหรือภาวะแทรกซ้อนในระยะยาวได้

“อาการฟกช้ำจากการกระแทก อาจดูเล็กน้อยภายนอก แต่ภายในกล้ามเนื้อกำลังร้องขอการฟื้นฟูที่ถูกวิธี”

กลไกการอักเสบและระยะของการฟื้นฟูกล้ามเนื้อหลังการกระแทก

     เมื่อกล้ามเนื้อได้รับแรงกระแทกโดยตรง เส้นใยกล้ามเนื้อและเส้นเลือดฝอยภายในจะเกิดการฉีกขาดบางส่วน ร่างกายจึงเริ่มกระบวนการ “ซ่อมแซมตัวเอง” ทันที ซึ่งในทางกายภาพบำบัด เราแบ่งกระบวนการฟื้นฟูออกเป็น 3 ระยะหลัก ได้แก่
ระยะอักเสบ (Inflammation Phase)ระยะซ่อมแซม (Repair Phase)ระยะฟื้นตัวและจัดเรียงใหม่ (Remodeling Phase)

การเข้าใจแต่ละระยะจะช่วยให้ผู้บาดเจ็บรู้ว่าควร “ทำอะไร” และ “ไม่ควรทำอะไร” เพื่อให้กล้ามเนื้อฟื้นตัวได้เร็วและแข็งแรงที่สุด

1. ระยะอักเสบ (Inflammation Phase)

ระยะเวลา: 1–3 วันหลังได้รับบาดเจ็บ

หลังเกิดแรงกระแทก ร่างกายจะตอบสนองทันทีด้วยการอักเสบเฉียบพลัน เพื่อกำจัดเนื้อเยื่อที่เสียหายและเริ่มกระบวนการซ่อมแซมในช่วงนี้จะพบอาการหลักคือ

  • บวม แดง ร้อน 
  • ปวดมากโดยเฉพาะเมื่อขยับหรือกด 
  • กล้ามเนื้อแข็งเกร็งและตึง

ในระดับเซลล์จะมีการหลั่งสารเคมี เช่น Prostaglandins, Cytokines และ Histamine ทำให้หลอดเลือดขยายตัวและของเหลวซึมเข้าสู่เนื้อเยื่อมากขึ้น (ส่งผลให้บวม)

แนวทางการดูแลในระยะนี้:

  • เน้น Protection & Cold Therapy ตามหลัก PEACE Protocol 
  • ห้ามนวด ประคบร้อน หรือออกกำลังหนัก 
  • สามารถใช้ Ultrasound ความเข้มต่ำ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนแบบปลอดภัย 
  • การใช้ Shockwave หรือ IASTM ยังไม่เหมาะในช่วงนี้

เป้าหมาย: ลดการอักเสบ ควบคุมการบวม และป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ

2. ระยะซ่อมแซม (Repair Phase)

ระยะเวลา: 3–14 วันหลังบาดเจ็บ

หลังจากเซลล์อักเสบกำจัดเนื้อเยื่อที่เสียหายแล้ว ร่างกายจะเริ่มสร้างเนื้อเยื่อใหม่ในบริเวณที่บาดเจ็บ โดยมีกระบวนการหลักคือ

  • Fibroblast Activation: เซลล์สร้างคอลลาเจนชนิด Type III (พังผืดชั่วคราว) 
  • Angiogenesis: การสร้างหลอดเลือดใหม่เพื่อส่งสารอาหารไปซ่อมแซม 
  • Myoblast Fusion: การเชื่อมต่อของเซลล์กล้ามเนื้อใหม่

ในช่วงนี้ อาการบวมเริ่มลดลง แต่ยังคงมีความตึงหรือปวดเมื่อขยับ

แนวทางการฟื้นฟูในระยะนี้:

  • เริ่มใช้ Active Recovery เช่น การขยับเบา ๆ แบบไม่เจ็บ 
  • ใช้เทคนิค Therapeutic Ultrasound, Manual Therapy เบา ๆ, หรือ Shockwave พลังงานต่ำ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนและกระบวนการซ่อมแซม 
  • เริ่ม Therapeutic Exercise แบบ Isometric (เกร็งกล้ามเนื้อค้างโดยไม่ขยับข้อ) เพื่อกระตุ้นการเรียงตัวของเส้นใย

เป้าหมาย: กระตุ้นการซ่อมแซมโดยไม่เพิ่มการอักเสบ และเริ่มคืนความแข็งแรงเบื้องต้น

3. ระยะฟื้นตัวและจัดเรียงใหม่ (Remodeling Phase)

ระยะเวลา: 2–6 สัปดาห์หลังบาดเจ็บ (ขึ้นอยู่กับระดับการบาดเจ็บ)

เมื่อร่างกายเริ่มสร้างเนื้อเยื่อใหม่เสร็จสมบูรณ์ จะเข้าสู่ช่วง “การจัดเรียงตัวของเส้นใยกล้ามเนื้อ”
ซึ่งถือเป็นระยะสำคัญที่สุดในการฟื้นฟู เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายเรียนรู้การเคลื่อนไหวใหม่อีกครั้ง

กระบวนการหลักในระยะนี้คือ

  • Collagen Remodeling: คอลลาเจน Type III (พังผืดอ่อน) ถูกแทนที่ด้วย Type I (แข็งแรงขึ้น) 
  • Fiber Realignment: เส้นใยกล้ามเนื้อเรียงตามแนวแรงเคลื่อนไหว (Line of Stress) 
  • Functional Recovery: ระบบประสาทและกล้ามเนื้อเริ่มกลับมาทำงานประสานกัน

แนวทางการฟื้นฟูในระยะนี้:

  • เพิ่มความหนักของ Therapeutic Exercise → จาก Isometric → Concentric → Eccentric → Functional Training 
  • ใช้ Shockwave หรือ IASTM เพื่อลดพังผืดและเพิ่มความยืดหยุ่น 
  • ฝึก Neuromuscular Control เพื่อคืนสมดุลการเคลื่อนไหว

เป้าหมาย: คืนสมรรถภาพกล้ามเนื้อให้เท่าหรือดีกว่าก่อนบาดเจ็บ พร้อมป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ

สัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าอาการไม่ใช่แค่ฟกช้ำธรรมดา

      แม้อาการ ฟกช้ำจากการกระแทก (Bruise) ส่วนใหญ่จะหายได้เองในไม่กี่วัน แต่บางครั้ง “กล้ามเนื้ออักเสบจากแรงกระแทก (Muscle Contusion)” อาจซ่อนความเสียหายภายในที่รุนแรงกว่านั้น โดยเฉพาะกรณีที่มีการฉีกขาดของเส้นใยกล้ามเนื้อระดับลึก หรือมีเลือดคั่งภายในที่ไม่สามารถระบายออกได้

การสังเกต “สัญญาณเตือน” เหล่านี้จะช่วยให้สามารถเข้ารับการประเมินจากนักกายภาพบำบัดได้ทัน ก่อนเกิดภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว

1. ปวดมากแม้ไม่ได้เคลื่อนไหว

หากคุณรู้สึกปวดลึกในกล้ามเนื้อ แม้จะอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้ใช้งาน โดยเฉพาะอาการปวดที่ “เต้นเป็นจังหวะ” หรือ “แน่นในเนื้อเยื่อ” แสดงว่าอาจมี เลือดคั่งภายในกล้ามเนื้อ (Intramuscular Hematoma) ซึ่งเกิดจากเส้นเลือดฝอยแตกและเลือดไม่สามารถซึมออกได้ ในกรณีนี้ การนวดหรือประคบร้อนจะทำให้เลือดคั่งเพิ่มขึ้นและอาจเกิดพังผืดในระยะต่อมา

ควรทำ: ประคบเย็น หลีกเลี่ยงแรงกดซ้ำ และเข้ารับการตรวจด้วย Ultrasound หรือ MRI ถ้าอาการไม่ดีขึ้นใน 3–5 วัน

2. บวมแข็งเป็นก้อน หรือรู้สึกแน่นลึกผิดปกติ

เมื่อคลำแล้วรู้สึกว่าบริเวณที่บาดเจ็บ “แข็งกว่าเนื้อเยื่อรอบข้าง” หรือ “มีก้อนนูน” อาจเป็นสัญญาณของ เลือดคั่งภายใน (Hematoma) หรือเริ่มเกิด พังผืดในกล้ามเนื้อ (Fibrotic Tissue) ในบางกรณี หากไม่ได้รับการรักษา อาจพัฒนาเป็นภาวะ Myositis Ossificans ซึ่งคือการที่ร่างกายสร้าง “เนื้อกระดูกเทียม” ภายในกล้ามเนื้อจากกระบวนการอักเสบที่ผิดปกติ

ควรทำ:

  • หลีกเลี่ยงการนวดแรงในช่วงแรก 
  • เข้ารับการประเมินด้วย Ultrasound 
  • ใช้เทคนิคกายภาพบำบัดเพื่อสลายเลือดคั่งและลดพังผืด (เช่น Shockwave หรือ Manual Therapy)

3. ขยับแล้วเจ็บเฉียบ หรือเคลื่อนไหวได้จำกัด

หากกล้ามเนื้อที่บาดเจ็บ “ขยับได้ไม่สุด” หรือ “เจ็บทันทีที่เริ่มเหยียดหรือหดตัว” อาจหมายถึงการฉีกขาดบางส่วนของเส้นใย (Partial Tear) โดยเฉพาะถ้ามีแรงกระแทกตรงตำแหน่งที่กล้ามเนื้อกำลังเกร็งขณะโดนชน (เช่น นักฟุตบอลที่ถูกเตะต้นขาขณะยกขา)

สังเกต:

  • หากเจ็บขณะ “หดกล้ามเนื้อ” = เส้นใยฉีกระดับกลางถึงลึก 
  • หากเจ็บขณะ “ยืดกล้ามเนื้อ” = การอักเสบของพังผืดร่วมด้วย

ควรทำ: หยุดการฝึกทันที และเข้ารับการตรวจเพื่อประเมินระดับการฉีกขาด (Grade I–III)

4. มีรอยฟกช้ำขยาย หรือไหลลงต่ำกว่าจุดกระแทก

รอยช้ำที่ “ไหลลง” ไปตามแนวแรงโน้มถ่วง (เช่น จากต้นขาลงเข่า) บ่งชี้ว่าเลือดจากบริเวณที่บาดเจ็บกำลังซึมออกนอกพังผืด (Intermuscular Bleeding) แม้อาจดูไม่รุนแรง แต่ต้องเฝ้าระวัง เพราะอาจเป็นการบาดเจ็บแบบ Intramuscular + Intermuscular Combined ซึ่งมีโอกาสเกิดแรงดันในเนื้อเยื่อสูง และทำให้กล้ามเนื้อฟื้นตัวช้ากว่าปกติ

5. อาการไม่ดีขึ้นภายใน 5–7 วัน หรือแย่ลง

โดยปกติ “รอยฟกช้ำทั่วไป” จะเริ่มจางลงใน 3–5 วัน และอาการปวดจะลดลงเรื่อย ๆ แต่หากผ่านไป 1 สัปดาห์แล้วยังรู้สึกปวด บวม หรือขยับไม่ได้ นั่นคือสัญญาณว่าร่างกายยังไม่เข้าสู่ระยะซ่อมแซม (Repair Phase) ตามปกติอาจมีปัญหาเลือดคั่งหรือพังผืดขวางการฟื้นฟูอยู่ภายใน

ควรทำ:
เข้ารับการประเมินจากนักกายภาพบำบัด โดยใช้การตรวจเช่น

  • Palpation Test: คลำหาก้อนหรือบริเวณบวมแข็ง 
  • Pain Scale (VAS): ประเมินระดับความเจ็บ 
  • Range of Motion Test: ตรวจขอบเขตการเคลื่อนไหว 
  • Functional Movement Test: ดูการทำงานของกล้ามเนื้อในท่าที่ใช้จริง

6. รู้สึกกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือสูญเสียการควบคุม

ถ้าแรงกระแทกทำให้รู้สึกว่าขา หรือแขน “ไม่มีแรง” หรือ “สั่งกล้ามเนื้อไม่ค่อยติด” อาจมีการบาดเจ็บลึกที่กระทบถึงเส้นประสาท (Nerve Contusion) มักพบในกรณีแรงกระแทกบริเวณต้นขา หรือหัวไหล่ ที่มีเส้นประสาทผ่านตื้น

ควรทำ:
หลีกเลี่ยงการฝึกต่อทันที และให้ผู้เชี่ยวชาญประเมินระบบประสาทร่วมกับกล้ามเนื้อ

“ไม่ใช่รอยฟกช้ำทุกจุดจะปลอดภัย” หากมีอาการปวดลึก บวมแข็ง หรือเคลื่อนไหวจำกัด ควรสงสัยว่ามีการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อระดับลึก การเข้ารับการประเมินจากนักกายภาพบำบัดตั้งแต่ระยะแรกจะช่วย

  • แยกระดับความรุนแรงได้อย่างแม่นยำ 
  • ป้องกันพังผืดและภาวะกล้ามเนื้อแข็งตัวผิดปกติ (Myositis Ossificans) 
  • วางแผนการฟื้นฟูได้ตรงจุดและปลอดภัยกว่า

“หากอาการฟกช้ำยังไม่ดีขึ้นภายใน 5 วัน อย่ารอให้กลายเป็นอาการเรื้อรัง ให้ร่างกายได้ฟื้นฟูอย่างมืออาชีพตั้งแต่วันนี้”

ปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อกล้ามเนื้ออักเสบจากการกระแทก (PEACE & LOVE)

     เมื่อเกิดการกระแทกจนกล้ามเนื้อฟกช้ำ หลายคนมักเลือก “นวด” หรือ “ทายาแก้ฟกช้ำ” ทันที แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่ควรทำใน 48–72 ชั่วโมงแรกคือ การดูแลอย่างระมัดระวังเพื่อควบคุมการอักเสบและป้องกันเลือดคั่งเพิ่มขึ้น หลักการที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกในปัจจุบันคือ “PEACE & LOVE” ซึ่งครอบคลุมทั้งการดูแลระยะเฉียบพลัน (PEACE) และการฟื้นฟูระยะต่อเนื่อง (LOVE)

ส่วนที่ 1: PEACE — แนวทางปฐมพยาบาลในช่วง 1–3 วันแรกหลังบาดเจ็บ

ตัวอักษร

ความหมาย

สิ่งที่ควรทำ / ไม่ควรทำ

P = Protection ปกป้องส่วนที่บาดเจ็บ หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เจ็บหรือกระแทกซ้ำ 1–3 วันแรก เพื่อป้องกันการฉีกขาดเพิ่ม
E = Elevation ยกส่วนที่บาดเจ็บให้สูงกว่าระดับหัวใจ ช่วยลดแรงดันในหลอดเลือดและของเหลวที่คั่งในเนื้อเยื่อ ลดอาการบวม
A=Avoid anti-inflammatory หลีกเลี่ยงยาต้านอักเสบในช่วงแรก เพราะกระบวนการอักเสบมีบทบาทสำคัญในการเริ่มซ่อมแซมเนื้อเยื่อ การใช้ยาอาจรบกวนการฟื้นฟูตามธรรมชาติ
C = Compression ใช้ผ้ายืดพันเบา ๆ ช่วยลดการบวมและจำกัดการเคลื่อนไหวส่วนที่บาดเจ็บ แต่ต้องไม่แน่นจนขัดการไหลเวียนเลือด
E = Education ให้ความรู้ผู้บาดเจ็บ เข้าใจอาการของตนเอง หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่อาจทำให้อาการแย่ลง เช่น นวด ประคบร้อน หรือยืดแรงในช่วงแรก

สิ่งที่ไม่ควรทำในระยะนี้:

  • ห้าม นวดแรง หรือ ใช้ลูกประคบร้อน 
  • ห้าม ออกกำลังหนักหรือวิ่งต่อ 
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้อักเสบโดยไม่จำเป็น (เว้นแต่แพทย์สั่ง)

ส่วนที่ 2: LOVE — แนวทางฟื้นฟูหลังพ้นระยะเฉียบพลัน

เมื่ออาการบวมลดลงและเริ่มเคลื่อนไหวได้มากขึ้น (โดยทั่วไปหลัง 3 วันขึ้นไป) เข้าสู่ช่วง LOVE ซึ่งมุ่งเน้นการกระตุ้นการฟื้นตัวและคืนสมรรถภาพกล้ามเนื้ออย่างปลอดภัย

ตัวอักษร

ความหมาย

สิ่งที่ควรทำ

L = Load ค่อย ๆ กลับมาใช้งานกล้ามเนื้อ เริ่มเคลื่อนไหวเบา ๆ แบบไม่เจ็บ เช่น การเหยียดกล้ามเนื้อเบา ๆ หรือขยับในช่วงที่สบาย เพื่อกระตุ้นการเรียงตัวของเส้นใย
O = Optimism รักษาทัศนคติที่ดีต่อการฟื้นตัว งานวิจัยพบว่าความคิดเชิงบวกช่วยให้ร่างกายหลั่งสารซ่อมแซมได้ดีขึ้น และลดความรู้สึกเจ็บ
V=Vascularization กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ออกกำลังกายแบบแอโรบิกเบา ๆ เช่น ปั่นจักรยานช้า เดิน หรือว่ายน้ำ เพื่อส่งเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อที่บาดเจ็บ
E = Exercise เริ่มฝึกออกกำลังกายเพื่อฟื้นฟู ใช้โปรแกรม Therapeutic Exercise เช่น Isometric → Concentric → Eccentric เพื่อเพิ่มแรงกล้ามเนื้อและป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ

แนวคิดของหลัก PEACE & LOVE

      หลักการนี้ถูกพัฒนาโดยนักกายภาพและนักวิจัยในยุโรป เพื่อแทนที่แนวทาง “RICE” แบบเดิมที่มุ่งแต่พักและประคบเย็น
เพราะการฟื้นฟูที่ดีไม่ใช่แค่การ “ลดอักเสบ” แต่คือการ “ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมและฟื้นตัวได้ตามธรรมชาติ”

“PEACE สำหรับการปกป้อง — LOVE สำหรับการฟื้นฟู”
ทั้งสองขั้นตอนคือหัวใจของการรักษาอาการบาดเจ็บเฉียบพลันให้หายเร็วและกลับมาแข็งแรงกว่าเดิม

เมื่อเกิดแรงกระแทกจนฟกช้ำ:

  1. หยุดกิจกรรม – อย่าฝืน 
  2. ประคบเย็น – 10–15 นาที ทุก 2–3 ชั่วโมง 
  3. ยกสูง – ลดบวม 
  4. พัก 1–2 วัน จากนั้นค่อยขยับเบา ๆ 
  5. หากบวมมาก เจ็บลึก หรือขยับไม่ได้ → ควรพบ นักกายภาพบำบัด เพื่อประเมินและฟื้นฟูอย่างถูกวิธี

ประโยชน์ของการใช้แนวทางนี้ในคลินิกกายภาพบำบัด

  • ลดระยะเวลาการอักเสบเฉียบพลันได้ถึง 30–40% 
  • ลดโอกาสเกิดเลือดคั่งและพังผืด 
  • เพิ่มความเร็วของการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ (จากงานวิจัย BJSM, 2019) 
  • ช่วยให้ผู้บาดเจ็บกลับไปเล่นกีฬาได้เร็วขึ้นอย่างปลอดภัย

“อย่ารอให้ร่างกายฟื้นเองผิดจังหวะ — ให้ PEACE & LOVE เป็นแนวทางดูแลตั้งแต่วันแรกที่บาดเจ็บ”

แนวทางฟื้นฟูตามหลักกายภาพบำบัด (Rehabilitation & Physical Therapy Approach)

      การฟื้นฟูอาการ “กล้ามเนื้ออักเสบจากการกระแทก” ที่ได้ผลจริง ต้องอาศัยการวิเคราะห์จากนักกายภาพบำบัดเพื่อวางโปรแกรมเฉพาะบุคคล โดยพิจารณาจาก ระดับความรุนแรงของการบาดเจ็บ (Grade I–III), ระยะเวลาตั้งแต่ได้รับแรงกระแทก, และ ความพร้อมของเนื้อเยื่อในการรับโหลด

แนวทางฟื้นฟูสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะหลัก ดังนี้

1. ระยะเฉียบพลัน (Acute Phase: 1–3 วันแรก)

เป้าหมาย: ควบคุมการอักเสบ ลดเลือดคั่ง และป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ

แนวทางการดูแล:

  • Cold Therapy: ประคบเย็นครั้งละ 10–15 นาที ทุก 2–3 ชั่วโมง เพื่อลดการอักเสบและการบวม 
  • Compression & Elevation: ใช้ผ้ายืดพันและยกส่วนบาดเจ็บให้สูงกว่าหัวใจ 
  • Gentle Mobilization: นักกายภาพอาจช่วยขยับข้อที่อยู่ใกล้เคียงเบา ๆ เพื่อป้องกันข้อติดแข็ง 
  • Electrotherapy / Ultrasound (Low Intensity): กระตุ้นการไหลเวียนเลือดแบบปลอดภัย 
  • Education: ให้ความรู้ผู้ป่วยว่าควรหลีกเลี่ยงการนวด ประคบร้อน หรือออกกำลังหนักในช่วงนี้

สิ่งสำคัญ:

ห้ามนวดหรือใช้แรงกดลึกในช่วง 72 ชั่วโมงแรก เพราะอาจทำให้เลือดคั่งเพิ่มและเกิดพังผืดในภายหลัง

2. ระยะกึ่งเฉียบพลัน (Subacute / Repair Phase: วันที่ 4–14)

เป้าหมาย: กระตุ้นการซ่อมแซมของกล้ามเนื้อ ฟื้นฟูการเคลื่อนไหว และเริ่มคืนความแข็งแรง

แนวทางการดูแล:

  • Manual Therapy (Soft Tissue Mobilization): ช่วยลดแรงตึงในกล้ามเนื้อรอบข้าง 
  • Therapeutic Ultrasound: กระตุ้นการไหลเวียนและการสร้างคอลลาเจนในเนื้อเยื่อ 
  • Shockwave Therapy (Low Energy): ใช้พลังงานคลื่นกระแทกอ่อน เพื่อสลายเลือดคั่งเรื้อรัง และกระตุ้นกระบวนการ Healing 
  • Isometric Exercise: ฝึกเกร็งกล้ามเนื้อแบบไม่ขยับข้อ เพื่อกระตุ้นเส้นใยโดยไม่เพิ่มการอักเสบ 
  • Pain-Free Stretching: ยืดกล้ามเนื้อเบา ๆ ในขอบเขตที่ไม่เจ็บ เพื่อคงความยืดหยุ่นของพังผืดที่กำลังฟื้นตัว

สิ่งที่ควรเน้น:
การกลับมาเคลื่อนไหวอย่างเหมาะสมจะช่วย “เรียงแนวเส้นใยกล้ามเนื้อ (Fiber Alignment)” ได้ดีขึ้น
และลดโอกาสเกิดพังผืดในระยะยาว

3. ระยะฟื้นฟูเต็มรูปแบบ (Rehabilitation / Remodeling Phase: 2–6 สัปดาห์ขึ้นไป)

เป้าหมาย: เสริมความแข็งแรง ฟื้นสมรรถภาพการเคลื่อนไหว และป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ

แนวทางการฟื้นฟู:

  • Progressive Therapeutic Exercise:

    • เริ่มจาก Isometric → Concentric → Eccentric → Functional Training 
    • ฝึกแบบจำลองท่าทางของกีฬา เช่น วิ่ง, เตะ, หรือกระโดด เพื่อให้กล้ามเนื้อปรับตัว 
  • Shockwave Therapy / Manual Therapy: ลดพังผืด เพิ่มการยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ 
  • Neuromuscular Re-Education: ฝึกการควบคุมและการทำงานร่วมของกล้ามเนื้อกับระบบประสาท 
  • Load Management Training: จัดการปริมาณการฝึกซ้อมให้เหมาะกับช่วงฟื้นตัว เพื่อไม่ให้เกิดแรงกระแทกซ้ำ 
  • Functional Movement Assessment: ตรวจการเคลื่อนไหวก่อนกลับไปเล่นกีฬา เช่น Squat, Lunge, Jump Test

ตัวอย่างการฟื้นฟูตามโปรแกรม:

สัปดาห์

เป้าหมายหลัก

ตัวอย่างการฝึก

สัปดาห์ 1–2 ลดบวม ฟื้น ROM ขยับเบา ๆ, เกร็งกล้ามเนื้อเฉพาะส่วน (Isometric)
สัปดาห์ 3–4 เพิ่มแรงกล้ามเนื้อ Resistance Band Exercise, Mini Squat
สัปดาห์ 5–6 ฟื้นการทำงานเชิงฟังก์ชัน Plyometric เบา ๆ, Sport-Specific Drill
สัปดาห์ 6+ เตรียมกลับเข้าสนาม Functional Test, Movement Screening

เทคโนโลยีและเทคนิคกายภาพที่ใช้ร่วมในการฟื้นฟู

เทคนิค

บทบาทหลัก

เหมาะกับระยะ

Ultrasound Therapy กระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมและลดการอักเสบระดับเซลล์      ระยะเฉียบพลัน–ซ่อมแซม
Shockwave Therapy สลายพังผืด กระตุ้นหลอดเลือดและการซ่อมแซมลึก      ระยะฟื้นฟู
Manual Therapy คืนความยืดหยุ่นให้เนื้อเยื่อและลดแรงตึง      ทุกระยะ
Therapeutic Exercise เพิ่มแรงและฟื้นการทำงานของกล้ามเนื้อ      ระยะซ่อมแซม–ฟื้นฟูเต็มรูปแบบ

บทบาทของนักกายภาพบำบัดในแต่ละระยะ

  1. ประเมินอาการอย่างละเอียด (Clinical Assessment):
    ใช้การคลำ, ตรวจการเคลื่อนไหว (ROM), ทดสอบแรงกล้ามเนื้อ และอาจใช้ Ultrasound เพื่อดูเลือดคั่ง 
  2. ออกแบบโปรแกรมเฉพาะบุคคล (Customized Rehab Plan):
    ปรับตามความรุนแรง อายุ และชนิดกีฬา 
  3. ติดตามผล (Re-Evaluation):
    ประเมินซ้ำทุก 3–7 วัน เพื่อปรับระดับการฟื้นฟูให้เหมาะสม 
  4. ป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ (Prevention Program):
    สอนการวอร์มอัพ ยืดเหยียด และเทคนิคการฝึกที่ปลอดภัย

การฟื้นฟูกล้ามเนื้ออักเสบจากการกระแทกไม่ใช่การพักเฉย ๆ แต่คือ “การคืนสมดุลทางชีวกลศาสตร์” ของกล้ามเนื้อ เพื่อให้ร่างกายกลับมาแข็งแรงและเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง

“ยิ่งฟื้นฟูเร็ว ร่างกายยิ่งซ่อมแซมได้ตรงจังหวะ นักกายภาพบำบัดคือผู้จัดจังหวะนั้นให้ร่างกายคุณ”

ข้อควรระวังสำคัญในการรักษาอาการกล้ามเนื้ออักเสบจากการกระแทก

      อาการ “กล้ามเนื้ออักเสบจากแรงกระแทก (Muscle Contusion)” มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเพียง “รอยฟกช้ำทั่วไป” ที่สามารถนวดหรือทายาได้เอง แต่ความจริงแล้ว หากดูแลไม่ถูกวิธีในช่วงแรก อาจทำให้เกิด เลือดคั่งลึก, พังผืด, หรือภาวะ Myositis Ossificans ได้ในระยะยาว

ดังนั้น การรักษาจึงไม่ใช่เพียง “ทำให้หายปวดเร็ว” แต่ต้อง “ฟื้นฟูให้ถูกจังหวะของเนื้อเยื่อ” และหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่อาจขัดขวางการฟื้นตัวของร่างกาย

1. ห้ามนวดหรือประคบร้อนใน 48–72 ชั่วโมงแรก

      แรงกระแทกจะทำให้เกิดการฉีกขาดของเส้นเลือดฝอยในกล้ามเนื้อ หากรีบนวดหรือประคบร้อนในช่วงที่ยังมีเลือดคั่งอยู่ จะทำให้เลือดออกมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการบวมเพิ่ม ความดันภายในกล้ามเนื้อสูงขึ้น และชะลอการฟื้นฟู

ควรทำ: ประคบเย็น 10–15 นาที ทุก 2–3 ชั่วโมง และยกส่วนที่บาดเจ็บให้สูง
หลีกเลี่ยง: การลงน้ำร้อน อบซาวน่า หรือการนวดโดยผู้ไม่มีความรู้เฉพาะทาง

2. ห้ามออกกำลังกายหรือยืดกล้ามเนื้อขณะยังปวด

      แม้บางคนจะรู้สึกว่า “เริ่มดีขึ้นแล้ว” แต่หากกล้ามเนื้อยังอยู่ในระยะอักเสบหรือซ่อมแซม การออกแรงเร็วเกินไปจะทำให้เส้นใยที่กำลังเชื่อมตัวใหม่ ฉีกซ้ำ (Re-Injury) และอาจเกิดพังผืดแทรกในจุดที่บาดเจ็บ ทำให้กล้ามเนื้อแข็งและตึงถาวร

ควรทำ: เริ่มออกกำลังเบา ๆ เมื่อไม่มีอาการปวดขณะขยับ
เน้น: โปรแกรม “Therapeutic Exercise” ที่ปรับตามระดับการฟื้นฟูโดยนักกายภาพ

3. ห้ามกดหรือนวดแรงในจุดที่บวมแข็ง

      บริเวณที่บวมแข็งหรือมีก้อนคลำได้หลังแรงกระแทก มักมีเลือดคั่งอยู่ภายในหากกดหรือนวดแรงอาจทำให้เลือดกระจายเข้าสู่พังผืดรอบกล้ามเนื้อ และกระตุ้นให้ร่างกายสร้างพังผืดหนาขึ้นเพื่อต้านแรง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ Myositis Ossificans (กล้ามเนื้อกลายเป็นกระดูกเทียม)

ควรทำ: ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจด้วย Ultrasound ก่อนเริ่มการรักษาเชิงลึก
ห้ามทำ: การใช้ลูกกลิ้ง (Foam Roller) หรือกด Trigger Point ด้วยตัวเองในช่วงแรก

4. หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้อักเสบโดยไม่จำเป็น

      หลายคนมักรีบใช้ยาแก้อักเสบ (NSAIDs) เพื่อลดปวด
แต่ในระยะเฉียบพลันของการบาดเจ็บ ร่างกายต้องอาศัยกระบวนการอักเสบเพื่อเริ่มซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
การใช้ยามากเกินไปในช่วงนี้อาจรบกวนกระบวนการ healing ทำให้เส้นใยฟื้นตัวช้า

ควรทำ: ใช้ยาเฉพาะกรณีที่ปวดมาก และอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์
เสริม: การใช้วิธีธรรมชาติ เช่น ประคบเย็น ยกสูง และพักให้เพียงพอ

5. ห้ามรีบกลับไปฝึกหรือแข่งขันก่อนกล้ามเนื้อฟื้นตัวเต็มที่

      การกลับไปใช้งานเร็วเกินไปคือสาเหตุหลักของ “การบาดเจ็บซ้ำ (Re-Injury)”  เพราะกล้ามเนื้อที่ยังไม่แข็งแรงพอจะรับแรงกระแทกได้ไม่เต็มที่  แม้ในบางคนอาการปวดจะลดลง แต่เส้นใยภายในยังอยู่ในช่วงการซ่อมแซม

ควรทำ: ให้นักกายภาพทดสอบแรงกล้ามเนื้อ (MMT), ความยืดหยุ่น, และการเคลื่อนไหวก่อนกลับไปซ้อม
มาตรฐาน: ควรมีแรงกล้ามเนื้ออย่างน้อย 90–95% เทียบกับข้างที่ไม่บาดเจ็บ ก่อนกลับสู่สนาม

6. ไม่ละเลยการฟื้นฟูระยะยาว

      ผู้บาดเจ็บจำนวนมากมักหยุดการรักษาเมื่อ “ไม่ปวดแล้ว” แต่จริง ๆ แล้ว กล้ามเนื้อที่ผ่านการอักเสบมักสูญเสีย “การทำงานเชิงประสาน (Neuromuscular Control)”  หากไม่ฟื้นฟูระบบนี้ จะเกิดการชดเชยของกล้ามเนื้ออื่นและเพิ่มความเสี่ยงบาดเจ็บซ้ำ

ควรทำ:

  • ฝึก Balance, Coordination และ Strength อย่างต่อเนื่อง 
  • ใช้การประเมิน Movement Screening กับนักกายภาพทุก 2–3 สัปดาห์ในช่วงฟื้นฟู

7. หลีกเลี่ยงการใช้เทคนิคหรือเครื่องมือโดยไม่มีการประเมิน

      การใช้เครื่องมือเช่น Shockwave, IASTM, หรือ Ultrasound ต้องอาศัยการประเมินก่อนเสมอ หากใช้ผิดจังหวะ (เช่น ใช้ Shockwave ในช่วงอักเสบเฉียบพลัน) อาจทำให้เลือดคั่งเพิ่มและเกิดพังผืดได้

ควรทำ: ให้ผู้เชี่ยวชาญประเมินก่อนทุกครั้ง เพื่อเลือกเทคโนโลยีให้เหมาะกับระยะการฟื้นฟู

ทำไมควรให้นักกายภาพบำบัดเป็นผู้ดูแลการฟื้นฟู

      เมื่อกล้ามเนื้อได้รับแรงกระแทกจนเกิดการอักเสบ หลายคนอาจเลือก “พัก” หรือ “นวด” เอง เพราะคิดว่าเป็นเพียงอาการฟกช้ำทั่วไป แต่ในความเป็นจริง การบาดเจ็บลักษณะนี้มักมีการฉีกขาดระดับจุลภาคของเส้นใย และถ้าไม่ฟื้นฟูอย่างถูกวิธีตั้งแต่ต้น อาจนำไปสู่ พังผืดเรื้อรัง, กล้ามเนื้อแข็งตึง, หรือการบาดเจ็บซ้ำในอนาคต ได้

นักกายภาพบำบัดจึงเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในการวางแผนฟื้นฟูอย่างถูกจังหวะ โดยอาศัย ความรู้ทางกายวิภาค (Anatomy), สรีรวิทยาการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ (Tissue Healing Physiology)  และ กลไกการเคลื่อนไหวของร่างกาย (Biomechanics)

1. ประเมินอย่างแม่นยำ ไม่ใช่แค่ดูอาการภายนอก

อาการฟกช้ำจากแรงกระแทกอาจมีตั้งแต่ระดับตื้นไปจนถึงลึก นักกายภาพบำบัดจะใช้กระบวนการตรวจเฉพาะทาง เช่น

  • Palpation Test: คลำหาจุดเลือดคั่งหรือก้อนแข็งในเนื้อเยื่อ 
  • Range of Motion (ROM) Test: ตรวจว่าการเคลื่อนไหวถูกจำกัดหรือไม่ 
  • Manual Muscle Test (MMT): วัดแรงหดตัวของกล้ามเนื้อเพื่อแยกระดับการบาดเจ็บ 
  • Ultrasound Assessment: ดูการคั่งของเลือดหรือรอยฉีกของกล้ามเนื้อระดับลึก 

ผลการตรวจเหล่านี้ทำให้สามารถ “ระบุระดับการบาดเจ็บ (Grade I–III)” ได้อย่างแม่นยำ
ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการวางแผนฟื้นฟูที่ตรงจุด

การประเมินที่แม่นยำคือ “หัวใจของการรักษา” เพราะบาดเจ็บที่ดูคล้ายกัน อาจต้องใช้แนวทางต่างกันโดยสิ้นเชิง

2. วางแผนฟื้นฟูเฉพาะบุคคล (Personalized Rehabilitation)

ไม่มีโปรแกรมฟื้นฟูใดที่ใช้ได้กับทุกคน เพราะระดับการบาดเจ็บ ตำแหน่ง และชนิดของกีฬาแต่ละประเภทแตกต่างกัน
นักกายภาพจะปรับโปรแกรมให้เหมาะกับแต่ละบุคคล โดยพิจารณาองค์ประกอบดังนี้

  • ระดับการอักเสบและความพร้อมของเนื้อเยื่อ (Tissue Readiness) 
  • อายุ สมรรถภาพ และพฤติกรรมการใช้งานกล้ามเนื้อของผู้ป่วย 
  • เป้าหมายสุดท้ายของผู้ป่วย เช่น กลับไปเล่นกีฬา, ทำงาน, หรือออกกำลังกายทั่วไป 

จากนั้นจึงวางโปรแกรมแบบ “Progressive Loading” ที่มีความหนักเพิ่มขึ้นทีละระดับ เพื่อให้กล้ามเนื้อฟื้นตัวอย่างมั่นคงและป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ

3. ใช้เทคนิคทางกายภาพที่ปลอดภัยและมีหลักฐานรองรับ

นักกายภาพบำบัดได้รับการฝึกฝนให้ใช้เทคนิคเฉพาะที่ช่วยกระตุ้นการฟื้นฟูอย่างปลอดภัย โดยอ้างอิงจากหลักฐานทางวิชาการ (Evidence-Based Practice) เช่น

เทคนิค

จุดประสงค์หลัก

หลักฐานสนับสนุน

Manual Therapy ลดแรงตึง พังผืด และเพิ่มการไหลเวียน

JOSPT, 2021

Shockwave Therapy กระตุ้นกระบวนการ Healing ลดเลือดคั่งเรื้อรัง

BJSM, 2020

Therapeutic Ultrasound ช่วยซ่อมแซมเซลล์กล้ามเนื้อระดับลึก

APTA, 2019

Therapeutic Exercise ฟื้นแรงกล้ามเนื้อและการควบคุมการเคลื่อนไหว

ACSM, 2022

การเลือกเทคนิคขึ้นอยู่กับ “ระยะของการฟื้นฟู” ซึ่งนักกายภาพสามารถกำหนดได้อย่างเหมาะสมกับสภาพร่างกายของผู้ป่วยแต่ละคน

4. ป้องกันการเกิดพังผืดและบาดเจ็บซ้ำ

หนึ่งในความเสี่ยงของผู้ที่ได้รับแรงกระแทก คือ การเกิดพังผืด (Myofascial Adhesion) เนื่องจากเลือดคั่งและการซ่อมแซมผิดรูปแบบ นักกายภาพจึงมีบทบาทในการ

  • ปรับแนวเส้นใยกล้ามเนื้อ (Fiber Alignment)  
  • ฟื้นสมดุลของแรงระหว่างกล้ามเนื้อคู่ตรงข้าม (Agonist–Antagonist Balance) 
  • ฝึกควบคุมการเคลื่อนไหวแบบ Functional เพื่อป้องกันการชดเชย

สิ่งเหล่านี้ช่วยให้กล้ามเนื้อฟื้นกลับมาใช้งานได้ “เต็มประสิทธิภาพ” ไม่ใช่แค่ “หายปวด” แต่ “กลับไปเล่นกีฬาได้อย่างมั่นใจ”

5. ฟื้นฟูด้วยแนวคิดการป้องกันระยะยาว (Preventive Rehabilitation)

การฟื้นฟูที่ดีไม่จบแค่การรักษาให้หาย แต่นักกายภาพจะช่วยวิเคราะห์สาเหตุที่แท้จริง เช่น

  • กล้ามเนื้อไม่สมดุล (Muscle Imbalance) 
  • ท่าทางผิดปกติ (Postural Fault) 
  • การควบคุมแรงหรือโหลดไม่เหมาะสม (Load Management Error)

จากนั้นออกแบบโปรแกรม “Prevention Training” เพื่อป้องกันการบาดเจ็บซ้ำในอนาคต

นี่คือสิ่งที่แตกต่างระหว่าง “การรักษาให้หาย” กับ “การฟื้นฟูให้แข็งแรงกว่าเดิม”

     กล้ามเนื้ออักเสบจากแรงกระแทกเป็นอาการที่ดูเหมือนง่าย แต่ซับซ้อนในระดับเนื้อเยื่อ
การฟื้นฟูที่ถูกต้องจึงต้องอาศัยความเข้าใจลึกในโครงสร้างและกลไกการซ่อมแซมของร่างกาย
ซึ่งนักกายภาพบำบัดคือผู้เชี่ยวชาญที่สามารถ “อ่านสัญญาณของร่างกาย” และ “จัดระบบฟื้นฟูให้เหมาะกับแต่ละคน” ได้ดีที่สุด

“อย่ารักษาแค่อาการ แต่ให้รักษาที่สาเหตุ เพราะการฟื้นฟูที่แท้จริง คือการกลับมาเคลื่อนไหวอย่างมั่นใจอีกครั้ง”

รักษาเร็ว ฟื้นตัวไว ปลอดภัยกว่า

      อาการ กล้ามเนื้ออักเสบจากการกระแทก อาจดูเหมือนเรื่องเล็กแต่ในทางกายภาพจริง ๆ แล้ว มันคือ “การบาดเจ็บภายในเนื้อเยื่อ” ที่ต้องการการดูแลอย่างมีระบบ ไม่ใช่เพียงการพักเฉย ๆ หรือทายาแล้วรอให้หายเอง

      เมื่อได้รับแรงกระแทก เส้นใยกล้ามเนื้อบางส่วนจะฉีกขาดและเกิดเลือดคั่งภายใน หากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษาอย่างถูกวิธี อาจเกิด พังผืด (Myofascial Adhesion) หรือภาวะที่ร่างกายซ่อมแซมผิดจังหวะ จนทำให้กล้ามเนื้อแข็งตึง เคลื่อนไหวไม่สุด และบาดเจ็บซ้ำได้ง่ายขึ้น

      ในทางกลับกัน หากได้รับการประเมินและฟื้นฟูตั้งแต่ระยะแรกโดยนักกายภาพบำบัด ร่างกายจะสามารถเข้าสู่กระบวนการ Healing ได้ตรงเวลา ลดระยะอักเสบ ฟื้นแรงได้เร็วขึ้น และกลับมาใช้งานได้อย่างมั่นใจ

แนวคิดสำคัญ

  1. รักษาเร็วกว่า = ลดการอักเสบเรื้อรัง
    เพราะการฟื้นฟูในระยะ 72 ชั่วโมงแรกช่วยควบคุมเลือดคั่งและลดพังผืด 
  2. ฟื้นฟูถูกวิธี = กล้ามเนื้อแข็งแรงกว่าเดิม
    การฝึกแบบมีระบบช่วยให้เส้นใยเรียงตัวใหม่และรับแรงได้มากกว่าเดิม 
  3. การดูแลต่อเนื่อง = ลดโอกาสบาดเจ็บซ้ำ
    โปรแกรมกายภาพช่วยให้กล้ามเนื้อและระบบประสาททำงานสอดคล้องกันมากขึ้น

อย่ารอให้เจ็บเรื้อรัง เพราะ “การฟื้นฟูเร็ว” คือการลงทุนให้ร่างกาย

      การบาดเจ็บจากแรงกระแทกไม่จำเป็นต้องจบลงด้วยการพักยาวหรือหยุดออกกำลังกาย เพียงแค่ได้รับการฟื้นฟูจากผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจกลไกร่างกาย คุณจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตหรือเล่นกีฬาได้เร็วขึ้น ปลอดภัยขึ้น และแข็งแรงกว่าเดิม

“กล้ามเนื้อที่บาดเจ็บสามารถกลับมาแข็งแรงได้ — ถ้าคุณให้เวลามันฟื้นอย่างถูกจังหวะ”

      ที่ Move On Clinic เรามีทีมกายภาพบำบัดที่เชี่ยวชาญการรักษาและฟื้นฟูอาการบาดเจ็บจากกีฬา โดยเฉพาะอาการ กล้ามเนื้ออักเสบจากการกระแทก, ฟกช้ำลึก, และ พังผืดจากการบาดเจ็บซ้ำ
เราใช้แนวทางที่ผสมผสานระหว่าง Therapeutic Exercise, Shockwave Therapy, และ Manual Therapy เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อของคุณฟื้นตัวตามธรรมชาติอย่างรวดเร็วและปลอดภัย

      หากคุณมีอาการฟกช้ำ บวม ปวดลึก หรือรู้สึกกล้ามเนื้อแข็งตึงหลังแรงกระแทก  อย่ารอให้เรื้อรังปรึกษาทีมนักกายภาพบำบัดที่ Move On Clinic เพื่อรับการประเมินและฟื้นฟูอย่างถูกหลักตั้งแต่วันนี้

เพราะการฟื้นฟูที่ดีไม่ใช่การพัก แต่คือการ “เคลื่อนไหวอย่างเข้าใจ”